ดาวโจนส์ปิดลบ 74.37 จุด หลังพาวเวลส่งสัญญาณอาจไม่ลดดอกเบี้ยเดือนธ.ค.

30 ต.ค. 2568 | 00:27 น.
อัปเดตล่าสุด :30 ต.ค. 2568 | 00:27 น.

ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ 74.37 จุด ท่ามกลางการซื้อขายผันผวน หลังเฟดลดดอกเบี้ย 0.25% ขณะที่พาวเวลส่งสัญญาณอาจไม่ลดดอกเบี้ยเดือนธ.ค.

KEY

POINTS

  • ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดในแดนลบ 74.37 จุด หลังเผชิญความผันผวนระหว่างการซื้อขาย
  • สาเหตุหลักมาจากคำแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ที่ส่งสัญญาณว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในเดือนธันวาคมยังไม่มีความแน่นอน
  • แม้ว่าในการประชุมครั้งนี้เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ตามคาด แต่ความกังวลต่อทิศทางนโยบายในอนาคตได้กดดันตลาดให้ปิดลบ

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพูธ (29 ต.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน 

หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด (FED) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมล่าสุดตามคาด 

แต่เจอโรม พาวเวล ประธานเฟดส่งสัญญาณว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในเดือนธ.ค.นั้น ยังไม่แน่นอน

  • ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 47,632.00 จุด ลดลง 74.37 จุด หรือ -0.16%, 
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,890.59 จุด ลดลง 0.30 จุด หรือ -0.004% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 23,958.47 จุด เพิ่มขึ้น 130.98 จุด หรือ +0.55%

ในช่วงแรกดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น หลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ตามคาด 

นอกจากนี้ เฟดประกาศว่าจะยุติการลดขนาดงบดุล หรือยุติการใช้นโยบาย คุมเข้มเชิงปริมาณ (Quantitative Tightening – QT) ในวันที่ 1 ธ.ค. ซึ่งการยุตินโยบาย QT นั้น ถือเป็นการผ่อนคลายนโยบายการเงินของเฟด

แต่ดัชนีดาวโจนส์ และ S&P500 อ่อนแรงลง หลังจากพาวเวลได้กล่าวอย่างชัดเจนในระหว่างการแถลงข่าวว่า เฟดยังไม่มีข้อสรุปเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในการประชุมเดือนธ.ค.

ในการประชุม FOMC ครั้งนี้ กรรมการเฟดมีความเห็นที่แตกต่างกันอย่างมากเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการในเดือนธ.ค. ดังนั้น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในการประชุมเดือนธ.ค. จึงยังไม่แน่นอน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ห่างไกลจากความแน่นอน

ทั้งนี้ หลังการแถลงข่าวของพาวเวล นักลงทุนให้น้ำหนัก 71% ในการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในการประชุมเดือนธ.ค. ซึ่งลดลงจากที่เคยให้น้ำหนักสูงถึง 90% ก่อนหน้านี้

ดัชนี Nasdaq ยังคงปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้แรงหนุนจากหุ้น Nvidia ผู้ผลิตชิป AI รายใหญ่ของสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 3% ส่งผลให้มูลค่าตลาดของบริษัทพุ่งขึ้นแตะระดับ 5.03 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่บริษัทสหรัฐฯ มีมูลค่าตลาดทะลุระดับ 5 ล้านล้านดอลลาร์ และทำให้ Nvidia ยังคงครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก