KEY
POINTS
เหตุการณ์การปะทะที่ ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานั้น กำลังกลายเป็นประเด็นขัดแย้งทางการทูตรอบใหม่ระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน หลังจากที่ทหารไทยประสบอุบัติเหตุเหยียบกับทุ่นระเบิดในพื้นที่พิพาทตามแนวชายแดน ซึ่งการตรวจสอบเบื้องต้นได้ชี้ให้เห็นว่าทุ่นระเบิดเหล่านั้นอาจเพิ่งถูกวางใหม่
เหตุการณ์นี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ขณะที่กองทัพบกไทยกำลังทำหน้าที่ลาดตระเวนในบริเวณชายแดนติดกับกัมพูชา ก่อนที่จะเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงจากการเหยียบทุ่นระเบิด ส่งผลให้มีทหารไทยได้รับบาดเจ็บ โดยข้อเท้าขาดไป นอกจากจะสร้างความสูญเสียในระดับทหารแล้ว ยังส่งผลให้เกิดการปะทะกันทางทหารยาวนานถึงห้าวัน ก่อนที่สหรัฐฯ จะเข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจาจนทำให้เกิดการหยุดยิง
ปัญหานี้ได้ขยายตัวกลายเป็นข้อพิพาทใหญ่ เมื่อประเทศไทยได้กล่าวหาว่ากัมพูชา "วางทุ่นระเบิดใหม่" โดยเฉพาะทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ซึ่งเป็นทุ่นระเบิดต่อต้านบุคคลจากยุคสหภาพโซเวียต ที่ได้ก่อให้เกิดบาดเจ็บสาหัสต่อทหารไทยไปแล้วอย่างน้อย 6 นายตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ขณะที่กัมพูชายืนยันว่า ทุ่นระเบิดที่เกิดเหตุเป็นของเก่าจากช่วงสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อมานานหลายสิบปี
สิ่งที่ทำให้เหตุการณ์นี้น่าจับตามองยิ่งขึ้น คือทุ่นระเบิด PMN-2 เป็นวัตถุระเบิดที่ต้องห้ามตาม "อนุสัญญาออตตาวา" ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาต่างได้ลงนามร่วมกันว่าจะไม่ผลิต ไม่สะสม และไม่ใช้งานทุ่นระเบิดต่อต้านบุคคลทุกรูปแบบ
หลังจากเหตุการณ์นั้น กองทัพไทยได้เปิดเผยหลักฐานให้กับสำนักข่าวรอยเตอร์ส ซึ่งรวมถึงภาพถ่ายและวิดีโอจากการดำเนินการกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดนระหว่างวันที่ 18 ถึง 23 กรกฎาคม ที่ผ่านมา พร้อมทั้งมีเอกสารภายในที่ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการพบระเบิดเพิ่มอีกหลายลูกในบริเวณใกล้เคียง โดยหลักฐานเหล่านี้ได้รับการตรวจสอบข้อมูลเมตาดาตาแล้วว่าได้ถ่ายในช่วงเวลาที่ตรงกับภารกิจของกองทัพอย่างแท้จริง
ผู้เชี่ยวชาญด้านทุ่นระเบิดอิสระจำนวน 4 คนที่รอยเตอร์สเชิญให้มาวิเคราะห์หลักฐานทั้งหมดนั้น ต่างลงความเห็นว่า "ทุ่นระเบิดที่พบมีลักษณะใหม่" โดยสภาพภายนอกของระเบิดยังคงอยู่ในสภาพดี ไม่มีร่องรอยการเสื่อมสภาพจากการถูกฝังไว้เป็นเวลานาน อีกทั้งพลาสติกยังมีความยืดหยุ่นและแผ่นยางยังคงมันวาว ไม่มีคราบดินหรือสิ่งสกปรกที่มักจะเกิดขึ้นกับวัตถุที่ถูกฝังไว้นานหลายปี นอกจากนี้ยังไม่มีร่องรอยของรากไม้หรือพืชพันธุ์ที่ขึ้นอยู่รอบระเบิด ซึ่งมักจะเกิดขึ้นกับทุ่นที่ถูกฝังไว้นาน
แอนดรูว์ เวียน สมิธ ผู้เชี่ยวชาญจากสหราชอาณาจักร ได้กล่าวว่า "ทุ่นที่ผมเห็นมีสภาพเหมือนเพิ่งถูกวางเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา" พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า หากเป็นทุ่นเก่าจากยุคสงครามเขมรแดง ตัวระเบิดควรจะมีสภาพที่บอบบางและแผ่นยางก็ต้องดูหม่นหมอง ไม่เงางามขนาดนี้
ในขณะเดียวกัน ยชัว โมเซอร์-ปวงสุวัน จากองค์กร Landmine Monitor ยืนยันว่า "ถึงแม้ว่าจะมีปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมเช่นน้ำท่วมหรือการกัดเซาะของดิน แต่ไม่สามารถทำให้ทุ่นที่มีอายุนับสิบปีดูเหมือนใหม่ได้"
อย่างไรก็ตาม กัมพูชายังคงยืนยันว่าไม่มีการใช้หรือสะสมทุ่นระเบิดต่อต้านบุคคล โดยหน่วยงาน Cambodia Mine Action and Victim Assistance Authority (CMAA) ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต กล่าวว่า "เพียงแค่สภาพของทุ่นไม่สามารถเป็นหลักฐานยืนยันอายุการวางได้ เนื่องจากดินและพืชพรรณอาจเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ" พร้อมเสนอให้มีการตรวจสอบจากคณะกรรมการอิสระที่เป็นบุคคลภายนอก
ทางด้านไทยได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่าทุ่นที่เกิดเหตุและที่ถูกกู้ขึ้นมา "เป็นของใหม่" โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศได้ระบุว่า "ทุ่นยังมีสัญลักษณ์และหมายเลขที่ชัดเจน เหมือนกับเพิ่งผลิตและใช้งานไปไม่นาน" พร้อมย้ำว่าไทยไม่เคยมีอาวุธ PMN-2 อยู่ในคลังแสง เนื่องจากไม่เคยได้รับยุทโธปกรณ์จากยุคโซเวียต
ในปัจจุบัน กัมพูชากำลังได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะประเทศนี้เคยเป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกในการรณรงค์เลิกใช้ทุ่นระเบิดมา 30 ปีแล้ว โดยได้มีการลงทุนมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ร่วมกับผู้บริจาคจากนานาชาติในการเก็บกู้และฟื้นฟูพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนจากทุ่นระเบิด ซึ่งตั้งแต่ปี 2522 มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้กว่า 40,000 คน
ข้อมูลจาก CMAA แสดงให้เห็นว่า ตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 ที่ผ่านมา มีการเก็บกู้ทุ่นระเบิด PMN-2 ไปแล้วมากกว่า 1,800 ลูกในทั่วประเทศ แต่การระเบิดที่เกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคมนั้นได้สร้างคำถามเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินงาน และอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของกัมพูชาบนเวทีโลก
ในขณะเดียวกัน ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ยุโรปกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยหลายประเทศเริ่มชะลอการปฏิบัติตามพันธสัญญาภายใต้อนุสัญญาออตตาวา ขณะที่ประเทศใหญ่ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา รัสเซีย และจีน ก็ไม่ได้เข้าร่วมในสนธิสัญญานี้ตั้งแต่แรก
ไทยซึ่งเป็นพันธมิตรที่มีมานานกับสหรัฐฯ จึงได้ใช้ช่องทางการทูตผ่านองค์การสหประชาชาติ โดยได้ยื่นเรื่องไปยังเลขาธิการยูเอ็น อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เพื่อขอให้กัมพูชาชี้แจงข้อกล่าวหาผ่านกระบวนการตรวจสอบตามสนธิสัญญา ขณะที่ ฟาร์ฮาน ฮัก รองโฆษกยูเอ็น ได้ยืนยันว่ามีกลไกดังกล่าวที่สามารถดำเนินการได้ และสหประชาชาติพร้อมที่จะสนับสนุนให้ทั้งสองประเทศหาทางออกด้วยวิธีการที่สันติ
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เส้นพรมแดนระหว่างไทยและกัมพูชาที่ยาวกว่า 1,000 กิโลเมตร เคยเป็นพื้นที่ที่อันตรายที่สุดแห่งหนึ่งของโลกจากทุ่นระเบิดที่ยังหลงเหลือจากสงคราม แม้ว่าความพยายามในการรื้อถอนจะเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ข้อตกลงสันติภาพในปี 1991 ก็ตาม