ทรัมป์สั่งปลดข้าราชการหมื่นรายทั่วสหรัฐฯ กลางวิกฤติชัตดาวน์ยืดเยื้อ 10 วัน

11 ต.ค. 2568 | 19:02 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ต.ค. 2568 | 19:08 น.

ทำเนียบขาวภายใต้ทรัมป์เริ่มปลดพนักงานรัฐหลายพันรายกลางภาวะรัฐบาลชัตดาวน์ กระทรวงการคลัง-สาธารณสุขโดนหนักกว่า 2,500 ตำแหน่ง ขณะศาลเตรียมฟังคำร้องสหภาพแรงงาน 15 ต.ค. เดโมแครตลั่น “ทรัมป์กำลังเล่นการเมืองบนความเดือดร้อนของประชาชน”

KEY

POINTS

  • รัฐบาลทรัมป์สั่งปลดพนักงานรัฐบาลกลางหลายพันคนทั่วประเทศ ท่ามกลางวิกฤตชัตดาวน์ที่ยืดเยื้อ
  • ทรัมป์กล่าวโทษพรรคเดโมแครตว่าเป็นต้นเหตุจากความขัดแย้งด้านงบประมาณ พร้อมอ้างว่าการปลดคนเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายลดขนาดภาครัฐ
  • การเลิกจ้างส่งผลกระทบต่อหลายหน่วยงานสำคัญ เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ

ทำเนียบขาวภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้าปลดพนักงานรัฐบาลกลางหลายพันรายทั่วประเทศ ท่ามกลางภาวะ “ชัตดาวน์” ที่ยืดเยื้อเข้าสู่วันที่ 10 พร้อมโยนความรับผิดชอบให้พรรคเดโมแครตเป็นต้นเหตุ หลังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงด้านงบประมาณและมาตรการขยายสิทธิประกันสุขภาพ

โฆษกทำเนียบขาวยืนยันว่าการปลดครั้งนี้เริ่มมีผลในหลายหน่วยงานหลัก ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) โดยเฉพาะในแผนกความมั่นคงไซเบอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยที่ทรัมป์ไม่พอใจอย่างหนัก หลังอดีตผู้อำนวยการออกมาชี้ว่า “ไม่มีหลักฐานโกงเลือกตั้ง” ในปี 2020

ตามเอกสารของกระทรวงยุติธรรม มีพนักงานกว่า 4,200 คน ได้รับหนังสือแจ้งเลิกจ้างจากอย่างน้อย 7 หน่วยงาน โดยเฉพาะกระทรวงการคลังที่ได้รับผลกระทบกว่า 1,400 ตำแหน่ง และกระทรวงสาธารณสุขอีกกว่า 1,100 ตำแหน่งทั้งนี้สหภาพแรงงานได้ยื่นฟ้องต่อศาลกลางเพื่อระงับคำสั่งดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าการเลิกจ้างระหว่างช่วง “ชัตดาวน์” อาจขัดต่อกฎหมายแรงงานกลาง ศาลมีกำหนดไต่สวนคดีในวันที่ 15 ตุลาคมนี้

ทรัมป์ระบุระหว่างแถลงในทำเนียบขาวว่า “พวกเขา (เดโมแครต) เป็นคนเริ่มเรื่องนี้เอง” พร้อมอ้างว่าการปลดพนักงานเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “ลดขนาดภาครัฐ” ที่เขาผลักดันมาตั้งแต่ต้นปี ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางกว่า 300,000 คน เตรียมออกจากตำแหน่งอยู่แล้วตามแผนปรับโครงสร้างของฝ่ายบริหาร

ในขณะเดียวกัน พรรคเดโมแครตยังคงยืนยันไม่ยอมถอย โดยเรียกร้องให้รัฐบาลต่ออายุเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันสุขภาพภายใต้กฎหมาย Affordable Care Act ซึ่งเป็นสิทธิสำคัญของประชาชนกว่า 24 ล้านคน ที่พึ่งพาระบบประกันสุขภาพภาครัฐ โดยชัค ชูเมอร์ ผู้นำเดโมแครตในวุฒิสภา ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า

“ตราบใดที่รีพับลิกันยังไม่จริงจังกับการแก้ปัญหา พวกเขาต้องรับผิดชอบต่อทุกชีวิตที่ได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจของตัวเอง ทั้งงานที่หายไป ครอบครัวที่ลำบาก และบริการสาธารณะที่ถูกตัดงบ”

สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดเมื่อมีรายงานว่าทรัมป์ได้สั่ง “อายัดงบโครงสร้างพื้นฐาน” กว่า 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับโครงการในรัฐนิวยอร์ก แคลิฟอร์เนีย และอิลลินอยส์ ซึ่งล้วนเป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครตและพื้นที่ที่มีผู้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจำนวนมาก

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่งบประมาณประจำทำเนียบขาวเผยผ่านโซเชียลมีเดียว่า “RIFs had begun” ซึ่งหมายถึงการเริ่มต้นกระบวนการ “ลดกำลังคน (Reduction in Force)” อย่างเป็นทางการ โดยระบุว่าการปลดครั้งนี้จะเป็น “ขนาดใหญ่” แม้ยังไม่เปิดเผยตัวเลขทั้งหมด

ในกระทรวงสาธารณสุข เจ้าหน้าที่สื่อสารยืนยันว่ามีพนักงานราว 41% ถูกสั่งพักงานและเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับหนังสือเลิกจ้าง ซึ่งกระทบต่อการติดตามโรคระบาด การวิจัยทางการแพทย์ และโครงการสาธารณสุขหลายด้าน ส่วนกระทรวงการคลังเองก็เริ่มปลดพนักงานในหน่วยจัดเก็บภาษี (IRS) ที่ถูกระบุว่าอาจถูกตัดตำแหน่งกว่า 1,300 ราย

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าการปลดยังลามไปถึงกระทรวงที่ทรัมป์เคยประกาศจะ “ปิดให้หมด” อย่างกระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีภารกิจสำคัญด้านข้อมูลเศรษฐกิจ การพยากรณ์อากาศ และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกฝ่ายในพรรครีพับลิกันจะเห็นด้วยกับแนวทางนี้ โดย ซูซาน คอลลินส์ ประธานคณะกรรมาธิการงบประมาณวุฒิสภา ออกแถลงการณ์แสดงความไม่เห็นด้วยว่า

“ไม่ว่าจะทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างหรือถูกพักงาน พนักงานรัฐบาลเหล่านี้ยังคงเป็นฟันเฟืองสำคัญในการให้บริการแก่ประชาชน พวกเขาไม่ควรถูกลงโทษเพราะความขัดแย้งทางการเมือง”

ความตึงเครียดทางการเมืองในสหรัฐฯ ครั้งนี้กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อระบบราชการและเศรษฐกิจอย่างหนัก พนักงานหลายแสนคนทั่วประเทศต้องรอรับเงินเดือนที่ลดลง หรือไม่ได้รับค่าจ้างเลย ขณะที่กองทัพกว่า 2 ล้านนายอาจไม่ได้รับเงินเดือนวันที่ 15 ตุลาคม หากรัฐบาลยังไม่สามารถกลับมาเปิดทำการได้ทันเวลา