ศึกโลหะมีค่า 2025 เงิน vs ทองคำ ใครพุ่งแรงกว่าท่ามกลางปัจจัยหนุนต่างขั้ว

02 ต.ค. 2568 | 23:00 น.

ปี 2025 ตลาดโลหะมีค่าหันมาจับตาเงินหลังสัญญาเงินล่วงหน้าให้ผลตอบแทนสะสมเหนือทองคำ โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ภาคอุตสาหกรรมและซัพพลายตึงตัว ขณะที่ทองคำยังคงรับแรงซื้อจากธนาคารกลางและทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์หลบภัย

KEY

POINTS

  • ในปี 2025 ราคาเงิน (Silver) พุ่งขึ้นแรงกว่าทองคำ โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญจากอุปสงค์ในภาคอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด เช่น แผงโซลาร์เซลล์และรถยนต์ไฟฟ้า ประกอบกับภาวะขาดดุลอุปทานในตลาด
  • ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย โดยได้แรงหนุนจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกเพื่อลดการพึ่งพาดอลลาร์ และความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะผ่อนคลายนโยบายการเงิน
  • แม้โลหะทั้งสองชนิดจะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มดอลลาร์อ่อนค่า แต่ปัจจัยขับเคลื่อนหลักมีความแตกต่างกัน โดยเงินถูกขับเคลื่อนด้วยความต้องการใช้งานจริงในอุตสาหกรรม ขณะที่ทองคำถูกขับเคลื่อนด้วยบทบาทการเป็นสินทรัพย์หลบภัยทางการเงิน

เงิน (Silver) เป็นอีกหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากสุดในโลก อันดันที่ 6 โดยอันดับหนึ่ง คือ ทองคำ ตามมาด้วยหุ้น Nvidia, Microsoft, Apple, Alphabet เจ้าของ Google และ YouTube 

ล่าสุด ราคาเงินที่ซื้อขายในตลาดล่วงหน้าปีนี้พุ่งแรงกว่า 58% สูงกว่าทองคำที่ขึ้น 45% โดยได้แรงหนุนจากภาวะขาดดุลอุปทานและความต้องการอุตสาหกรรม ขณะนักลงทุนเพิ่มการถือครองผ่านกองทุน ETF และเงินแท่งจริง นักวิเคราะห์มองทองคำยังแข็งแกร่ง คาดแตะ 4,000 ดอลลาร์ในปี 2026 และอาจไปถึง 5,000 ดอลลาร์ หากความกังวลต่อเฟดเพิ่มขึ้น

แรงซื้อเงินที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วเกิดขึ้นพร้อมกับที่ทองคำยังคงเป็นจุดสนใจของตลาดในปีนี้ โดยได้แรงหนุนจากความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะผ่อนคลายนโยบายการเงิน และการเข้าซื้อจากธนาคารกลางต่างชาติที่แข็งแกร่ง โดยมูลค่าการถือครองเพิ่งจะแซงหน้าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1996

เมื่อวันจันทร์ (29 ต.ค.) ที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs แสดงความเชื่อมั่นในทองคำภายใต้ภาวะสมดุลพอดี (Goldilocks regime) หรือสภาวะที่ไม่ร้อนเกินไป ไม่เย็นเกินไป สำหรับตลาดโดยรวม นักวิเคราะห์คาดว่าทองคำจะขึ้นถึง 4,000 ดอลลาร์ภายในกลางปี 2026 แม้จะเตือนว่าปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้เกิดความผันผวนระยะสั้น

ขณะที่เมื่อต้นเดือนนี้ นักวิเคราะห์ของสถาบันเดียวกันย้ำว่า ในฝั่งซื้อที่มีความเชื่อมั่นทองคำสูงสุด พร้อมประเมินในกรณีขาขึ้นว่าราคามีโอกาสแตะ 5,000 ดอลลาร์ภายในสิ้นปีหน้า ท่ามกลางความกังวลต่อความเป็นอิสระของ Fed ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์มีแผนแต่งตั้งผู้ว่าการสายผ่อนคลายเข้าไปในคณะกรรมการ

นอกจากทองคำและเงินแล้ว โลหะมีค่าชนิดอื่นอย่างพาลาเดียม  และแพลทินัม ก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยปี 2025 พุ่งขึ้น 44% และ 79% ตามลำดับ สอดคล้องกับแนวโน้มดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลง ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงประมาณ 10% นับตั้งแต่ต้นปี ทำให้สินค้าโภคภัณฑ์ที่ซื้อขายด้วยดอลลาร์มีราคาถูกลงสำหรับผู้ซื้อที่ใช้สกุลเงินอื่น

ต่อไปนี้เป็นภาพรวมตลาด โดย ฐานเศรษฐกิจ รวบรวมข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้เพื่อให้ข้อมูลภาพรวมตลาดเท่านั้น การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุน

 

ปี 2025 ได้รับการบันทึกว่าเป็นปีที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์สำหรับตลาดโลหะมีค่า โดยทั้งทองคำ และเงินแสดงให้เห็นถึงการพุ่งขึ้นของราคาที่รุนแรงและผันผวนอย่างไม่เคยมีมาก่อน การวิเคราะห์เชิงปริมาณได้ยืนยันว่า เงิน (Silver) คือโลหะที่สร้างผลตอบแทนสูงสุดในปี 2025 โดยมีผลการดำเนินงาน Year-to-Date (YTD) ที่เหนือกว่าทองคำอย่างมีนัยสำคัญ แรงผลักดันหลักของเงินมาจากการบรรจบกันของอุปสงค์เชิงโครงสร้างในภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และปัจจัยมหภาคที่เอื้ออำนวย

ในทางตรงกันข้าม ทองคำยังคงรักษาบทบาทเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยอันดับหนึ่ง โดยราคาที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์นั้นสะท้อนถึงความกังวลเชิงระบบเกี่ยวกับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ และความต้องการสะสมทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน การทำความเข้าใจความแตกต่างของปัจจัยขับเคลื่อนเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนดกลยุทธ์การจัดสรรพอร์ตโฟลิโอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์เพื่อใช้ประโยชน์จากศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของโลหะทั้งสองชนิด

จากการวัดผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2025 (ประมาณเดือนตุลาคม) พบว่าเงินได้แสดงผลตอบแทน Year-to-Date (YTD) ที่สูงกว่าทองคำอย่างชัดเจน 

  • Silver (XAG) ผลตอบแทน YTD โดยประมาณอยู่ที่ 53% ถึง 63.53%
  • Gold (XAU) ผลตอบแทน YTD โดยประมาณอยู่ที่ 35% ถึง 49%.3

การพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงของทั้งสองโลหะสะท้อนผ่านสถิติราคาสูงสุดใหม่หลายครั้ง

ทองคำทะยานอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2025 โดยสร้างสถิติสูงสุดใหม่ครั้งที่ 11 ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ 2,956.15 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนแตะระดับ 3,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงต้นไตรมาส 4 การเพิ่มขึ้น 45%-46% YTD ของทองคำในปีนี้ถือเป็นปีที่มีประสิทธิภาพแข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 1979.4 ในขณะเดียวกัน เงินซึ่งเริ่มต้นปีด้วยราคาประมาณ 28.92 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้พุ่งขึ้นไปถึง 47.00 ถึง 47.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ณ ต้นเดือนตุลาคม 2025 ทำให้เข้าใกล้ระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 49.51 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในปี 2011

ผลตอบแทน YTD ที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญของเงิน (53%-63.53%) เมื่อเทียบกับทองคำ (35%-49%) ยืนยันบทบาทของเงินในฐานะโลหะมีค่าที่มีความผันผวนสูง (high-beta) ในตลาดกระทิง 

นอกจากนี้ การเร่งตัวของราคายังเป็นสิ่งที่น่าสนใจ โดยเงินทำผลงานได้แข็งแกร่งเป็นพิเศษในช่วงปลายปี โดยมีผลตอบแทน 27.5% ในไตรมาสที่ 3 และ 16.1% ในเดือนกันยายน 2025 โมเมนตัมที่เร่งตัวขึ้นนี้แสดงให้เห็นว่าปัจจัยเชิงอุตสาหกรรมและอุปสงค์เก็งกำไรได้มาบรรจบกันอย่างมีพลังในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดที่ว่าตลาดเงินกำลังเผชิญกับ "พายุที่สมบูรณ์แบบ" (perfect storm) ของปัจจัยบวก

เงินและการเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรม

เงินมีความพิเศษเนื่องจากทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ที่มีบทบาทคู่ (Dual Role) เป็นสินทรัพย์ทางการเงินเช่นเดียวกับทองคำ และเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ภาคอุตสาหกรรมที่สำคัญ อุปสงค์จากภาคอุตสาหกรรมคิดเป็นสัดส่วนถึง 59% ของการใช้เงินทั้งหมด ลักษณะดังกล่าวทำให้เงินมีความน่าสนใจในฐานะการลงทุนแบบ

อุปสงค์เชิงโครงสร้างจากการปฏิวัติพลังงานสีเขียว 

แรงขับเคลื่อนหลักของราคาเงินในปี 2025 มาจากอุปสงค์เชิงโครงสร้างที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความต้องการใช้ในภาคอุตสาหกรรมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ คาดว่าความต้องการใช้ในภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกจะทะลุ 700 ล้านออนซ์ในปี 2025 ซึ่งเป็นสถิติใหม่ การประยุกต์ใช้หลัก การเติบโตของอุปสงค์นี้ถูกขับเคลื่อนโดยแอปพลิเคชันพลังงานสีเขียวเป็นหลัก

Photovoltaics (แผงโซลาร์เซลล์) เงินเป็นส่วนประกอบสำคัญในแผงโซลาร์เซลล์. การใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีและพลังงานสะอาดที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกทำให้ภาคอุตสาหกรรมต้องเร่งรัดการจัดหาวัตถุดิบอย่างเข้มข้น

Electric Vehicles (EVs) เงินมีความจำเป็นในแบตเตอรี่และระบบอิเล็กทรอนิกส์ของรถยนต์ไฟฟ้า

เนื่องจากเงินมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการผลิตโซลาร์เซลล์และรถยนต์ไฟฟ้า และภาคส่วนเหล่านี้ได้รับแรงหนุนจากคำสั่งนโยบายขนาดใหญ่และงบประมาณโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก อุปสงค์ต่อเงินในภาคอุตสาหกรรมจึงค่อนข้าง ไม่ยืดหยุ่น ต่อการเปลี่ยนแปลงราคาในระยะสั้น บริษัทจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อบรรลุเป้าหมายการผลิตแม้ราคาจะสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่สร้างฐานราคาที่แข็งแกร่งให้กับเงิน ต่างจากทองคำซึ่งขาดประโยชน์ใช้สอยในอุตสาหกรรมหลักในระดับเดียวกัน

ข้อจำกัดด้านอุปทานและการขาดดุลอย่างต่อเนื่อง

ตลาดเงินประสบปัญหาการขาดดุลอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 อุปทานยังคงตึงตัว เนื่องจากประมาณ 70% ของการผลิตเงินเป็นการผลิตพลอยได้ (byproduct) จากการทำเหมืองโลหะพื้นฐานอื่น ๆ เช่น ทองแดง การลดลงของเกรดแร่และความท้าทายในการผลิตทำให้ปริมาณอุปทานไม่สามารถเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองต่ออุปสงค์ที่พุ่งขึ้นตามนโยบาย  การขาดแคลนอุปทานเชิงโครงสร้างที่ยืดเยื้อมานานถึงห้าปีนี้ ยืนยันว่าการผลิตไม่สามารถขยายตัวได้อย่างง่ายดายเพื่อรองรับอุปสงค์ที่เกิดจากนโยบายพลังงานสะอาด จึงผลักดันให้ราคาต้องปรับตัวสูงขึ้นจนกว่าจะมีการชะลอตัวในภาคการผลิตหรืออุปทานจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก

การหดตัวอย่างมากของอัตราส่วนทองคำต่อเงิน (Gold-to-Silver Ratio GSR) ในปี 2025 สะท้อนให้เห็นว่ามูลค่าที่แท้จริงของเงิน ซึ่งผูกพันกับประโยชน์ใช้สอยทางอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้ถูกประเมินราคาเข้าสู่ตลาดแล้วการที่อัตราส่วนแคบลงจึงเป็นตัวกระตุ้นให้เงินไล่ตามทองคำหลังจากถูกประเมินค่าต่ำไปในช่วงก่อนหน้า ซึ่งเป็นลักษณะที่สังเกตได้ทั่วไปในตลาดกระทิงของโลหะมีค่าที่กำลังเข้าสู่ช่วงเติบโตเต็มที่

อุปสงค์ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

ราคาทองคำได้รับการสนับสนุนจากภาวะความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อและทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความขัดแย้งที่ขยายวงกว้างขึ้นระหว่างรัสเซีย-ยูเครน/นาโต และสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในตะวันออกกลาง (อิสราเอล-ฮามาส) ได้สร้างอัตราเร่งให้กับความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย

นอกจากนี้ ความเสี่ยงทางการเมืองภายในสหรัฐฯ โดยเฉพาะความกังวลเกี่ยวกับการปิดหน่วยงานรัฐบาล (Government Shutdown) ได้กระตุ้นให้เกิดการซื้อทองคำในฐานะที่หลบภัยอย่างรุนแรงในช่วงปลายปี 2025 ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในทองคำในฐานะที่เก็บรักษามูลค่ายังแข็งแกร่ง โดยเห็นได้จากกระแสเงินไหลเข้ากองทุน Gold ETF ที่สูงถึงประมาณ 10.5 พันล้านดอลลาร์ในเดือนกันยายนเพียงเดือนเดียว

การพุ่งขึ้นของราคาทองคำในปี 2025 แม้ในขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับปานกลาง (ต่างจากปี 1979) บ่งชี้ว่าแรงขับเคลื่อนหลักได้เปลี่ยนจากการป้องกันเงินเฟ้อไปสู่การป้องกัน

ความเสี่ยงของรัฐบาล (sovereign risk) ความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการคลังของสหรัฐฯ และความสามารถของรัฐบาลในการจัดการการเงินสาธารณะ คือปัจจัยสำคัญ

การซื้อทองคำของธนาคารกลางและการลดการพึ่งพาดอลลาร์

ปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งที่ค้ำจุนราคาทองคำคืออุปสงค์เชิงยุทธศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นจากธนาคารกลางทั่วโลก ธนาคารกลางได้สั่งสมทองคำสำรองในอัตราที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยมีการซื้อเพิ่มขึ้นถึงสี่เท่าตั้งแต่ปี 2022 การซื้อทองคำเหล่านี้คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 20% ของอุปสงค์ทองคำทั่วโลกในปี 2024

ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ได้เร่งกระบวนการ "ลดการพึ่งพาดอลลาร์" (De-dollarization) มีหลายประเทศหันมาใช้ทองคำเป็นสินทรัพย์สำรองทางเลือก สัดส่วนการถือครองทองคำสำรองของธนาคารกลางกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นจากเฉลี่ย 8% เป็นเกือบ 15% ระหว่างปี 2020 ถึง 2025

Goldman Sachs จัดให้ธนาคารกลางอยู่ในกลุ่ม "Conviction Buyers" ซึ่งเป็นผู้ซื้อที่มีมุมมองเชิงกลยุทธ์ระยะยาวและไม่ขึ้นอยู่กับราคาในระยะสั้น ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการกำหนดทิศทางราคาในระยะยาว

ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์สร้างวงจรป้อนกลับเชิงบวก (self-reinforcing feedback loop) ให้กับทองคำ ความขัดแย้งในภูมิภาคผู้ผลิตพลังงานนำไปสู่ความคาดหวังเงินเฟ้อที่สูงขึ้น (คาดการณ์เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 1-2 จุดเปอร์เซ็นต์ พร้อมกับราคาทองคำเพิ่มขึ้น 25%)12 ภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นนี้ประกอบกับการลดค่าของสกุลเงินในเขตขัดแย้ง ผลักดันให้นักลงทุนในพื้นที่เหล่านั้นหันไปถือครองทองคำเพื่อป้องกันความมั่งคั่ง วงจรนี้ตอกย้ำความแข็งแกร่งของทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากทั้งความเสี่ยงทางการเมืองและความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ

การผ่อนคลายนโยบายการเงินและการอ่อนค่าของดอลลาร์

โลหะมีค่าทั้งสองชนิดได้รับแรงหนุนจากปัจจัยมหภาคที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง

ต้นทุนค่าเสียโอกาสที่ลดลง เมื่อตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะใช้นโยบายผ่อนคลายและปรับลดอัตราดอกเบี้ย อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเป็นดอลลาร์จะลดลง ซึ่งลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำและเงิน ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน

การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงนำไปสู่การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯเนื่องจากทองคำและเงินถูกกำหนดราคาเป็นดอลลาร์ การอ่อนค่าของดอลลาร์จึงทำให้โลหะมีค่าเหล่านี้มีราคาถูกลง ซึ่งเป็นการกระตุ้นอุปสงค์ทั่วโลกและผลักดันราคาให้สูงขึ้น

ความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย

แม้ทั้งสองโลหะจะได้รับประโยชน์จากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ผ่อนคลาย แต่เงินมีแนวโน้มที่จะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยและทิศทางของค่าเงินดอลลาร์ เร็วกว่าและรุนแรงกว่า ทองคำ 

หาก Fed สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้สำเร็จ เงินมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกำไรที่สูงกว่าทองคำ เนื่องจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมักจะมาพร้อมกับแนวโน้มการฟื้นตัวของการเติบโตทางอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นองค์ประกอบด้านอุปสงค์ที่สำคัญของเงิน

อย่างไรก็ตาม ความผันผวนนี้ก็เป็นแหล่งที่มาของความเสี่ยงเช่นกัน การเคลื่อนไหวของตลาดในช่วง Q4 2025 แสดงให้เห็นว่าความคาดหวังเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยยังคงเป็นปัจจัยหลักของความผันผวน โดยการคาดการณ์ที่กลับไปสู่การตึงตัวมากขึ้น (ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังคงอยู่ที่ 3.3%) สามารถนำไปสู่การปรับฐานของราคาโลหะมีค่าได้

การคาดการณ์ต่อไป 

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงมองโลกในแง่ดีอย่างยิ่งสำหรับโลหะทั้งสองชนิดในช่วงปี 2025-2026 โดยคาดการณ์ว่าตลาดกระทิงจะดำเนินต่อไป

ป้าหมายราคาสินทรัพย์ของสถาบันการเงินหลายแห่งสำหรับช่วงปี 2025–2026 แสดงการคาดการณ์ที่แตกต่างกันระหว่างทองคำกับเงิน (Silver) โดยมีทั้งสถาบันที่ระบุเป้าทั้งสองและสถาบันที่ให้เป้าสำหรับเพียงหนึ่งในสองโลหะ

Goldman Sachs กำหนดเป้าราคาทองคำไว้ที่ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สำหรับช่วงกลางปี 2026 ขณะที่ไม่ได้ระบุเป้าราคาเงิน 

OCBC Bank ให้เป้าทองคำไว้ที่ 3,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สำหรับปี 2025 โดยระบุว่าปรับเพิ่มจาก 2,700 ดอลลาร์ ขณะที่เป้าราคาเงิน

Societegenerale ตั้งเป้าราคาทองคำที่ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยให้บริบทเป็นไตรมาส 4 ของปี 2025 และระบุว่าเป็นการปรับเพิ่มจาก 2,900 ดอลลาร์ ส่วนเป้าราคาเงินไม่ได้ระบุ

Citigroup ระบุเป้าทองคำไว้ที่ 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และให้เป้าราคาเงินที่ 40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยบริบทของทั้งสองเป้าระบุเป็นปี 2025

UBS ไม่ได้ระบุเป้าทองคำ ขณะที่ให้กรอบราคาเงินไว้ที่ 38-40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ พร้อมระบุมุมมองเป็นระยะใกล้ (Bullish)

Macquarie ไม่ได้ระบุเป้าทองคำ แต่ประเมินราคาเงินเฉลี่ยไว้ที่ 36 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยช่วงเวลาที่อ้างอิงคือ Q4 2025

InvestingHaven ไม่ได้ระบุเป้าทองคำ ขณะที่ให้ช่วงเป้าราคาเงินไว้ที่ 48.20-50.25 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สำหรับปี 2025

Gov Capital ไม่ได้ระบุเป้าทองคำ และระบุเป้าราคาเงินโดยประมาณที่ราว 39.84 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สำหรับสิ้นปี 2025