34 วันแห่งชัตดาวน์ ยุคทรัมป์บันทึกสถิติยาวที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ

01 ต.ค. 2568 | 05:57 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ต.ค. 2568 | 06:05 น.

ประวัติศาสตร์ Government Shutdown สหรัฐฯ ครั้งยาวนานที่สุดเกิดขึ้นในสมัย โดนัลด์ ทรัมป์ ปี 2019 จากข้อพิพาทเรื่องงบประมาณสร้างกำแพงสหรัฐฯ-เม็กซิโก ยืดเยื้อ 34 วัน กระทบเจ้าหน้าที่รัฐ-บริการสาธารณะทั่วประเทศ

KEY

POINTS

  • การปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ (Government Shutdown) ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นในสมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
  • เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 22 ธันวาคม 2018 ถึง 25 มกราคม 2019 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 34 วัน
  • สาเหตุหลักมาจากความขัดแย้งเรื่องงบประมาณสำหรับการสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก

รัฐบาลสหรัฐฯ ปิดการดำเนินงานส่วนใหญ่ลง หลังความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสองพรรคใหญ่ทำให้สภาคองเกรสและทำเนียบขาวไม่สามารถบรรลุข้อตกลงด้านงบประมาณ ส่งผลให้เกิดภาวะชัตดาวน์ที่อาจยืดเยื้อและสร้างผลกระทบรุนแรง รวมถึงการสูญเสียงานนับพันตำแหน่งของเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง

ธงชาติสหรัฐฯ ถูกประดับไฟที่ทางเข้าอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่รัฐบาลจะปิดทำการบางส่วนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2568 ภาพโดย REUTERS

หน่วยงานรัฐบาลเตือนว่า ชัตดาวน์ครั้งนี้ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 15 ตั้งแต่ปี 1981 จะทำให้การเผยแพร่รายงานการจ้างงานเดือนกันยายนถูกระงับ การเดินทางทางอากาศล่าช้า งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์หยุดชะงัก กำลังทหารสหรัฐฯ ไม่ได้รับค่าจ้าง และมีเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางถึง 750,000 คนถูกพักงานชั่วคราว คิดเป็นต้นทุน 400 ล้านดอลลาร์ต่อวัน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผลักดันการปรับโครงสร้างรัฐบาลกลางอย่างรุนแรงและมีแผนลดจำนวนเจ้าหน้าที่ราว 300,000 คนภายในเดือนธันวาคม เตือนพรรคเดโมแครตว่า การชัตดาวน์อาจปูทางไปสู่มาตรการลดงานและโครงการเพิ่มเติม

การชัตดาวน์เริ่มต้นขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังวุฒิสภาปฏิเสธร่างกฎหมายงบประมาณระยะสั้น ซึ่งจะช่วยให้รัฐบาลดำเนินงานต่อไปได้จนถึงวันที่ 21 พฤศจิกายน

พรรคเดโมแครตคัดค้านร่างกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากพรรครีพับลิกันปฏิเสธที่จะต่ออายุสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพสำหรับชาวอเมริกันหลายล้านคนที่กำลังจะหมดอายุสิ้นปีนี้ ขณะที่พรรครีพับลิกันยืนยันว่าประเด็นนี้ต้องได้รับการพิจารณาแยกต่างหาก

คนงานเดินผ่านโถงทางเดินที่อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่หน่วยงานรัฐบาลจะปิดทำการบางส่วนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา วันที่ 30 กันยายน 2568 REUTERS

ประเด็นหลักในการเจรจางบประมาณอยู่ที่วงเงิน 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐ คิดเป็นราวหนึ่งในสี่ของงบประมาณรวม 7 ล้านล้านดอลลาร์ โดยงบประมาณส่วนใหญ่ที่เหลือใช้กับโครงการด้านสุขภาพ การเกษียณอายุ และการชำระดอกเบี้ยหนี้สาธารณะซึ่งพุ่งแตะ 37.5 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว

นักวิเคราะห์อิสระเตือนว่าชัตดาวน์ครั้งนี้อาจยาวนานกว่าครั้งก่อน เนื่องจากทำเนียบขาวและทรัมป์ขู่จะใช้มาตรการลงโทษพรรคเดโมแครตด้วยการตัดงบโครงการและลดจำนวนเจ้าหน้าที่ ขณะที่ รัสเซลล์ วอทท์ผู้อำนวยการงบประมาณของทรัมป์ก็ขู่เมื่อสัปดาห์ก่อนว่าจะมีการเลิกจ้างถาวรหากเกิดชัตดาวน์

ความไม่แน่นอนส่งผลให้ตลาดการเงินผันผวน ฟิวเจอร์สวอลล์สตรีทปรับตัวลดลง ราคาทองคำแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และตลาดหุ้นเอเชียอ่อนแรง นักลงทุนกังวลถึงความล่าช้าในการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญและผลกระทบจากการสูญเสียงาน ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวใกล้ระดับต่ำสุดในรอบสัปดาห์เมื่อเทียบกับสกุลหลัก

รัฐบาลสหรัฐฯ ชัตดาวน์ ล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อปี 2019

จากข้อขัดแย้งเรื่องงบประมาณสร้างกำแพงสหรัฐฯ-เม็กซิโก กินเวลายาวนาน 34 วัน วัน ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2018 ถึงวันที่ 25 มกราคม 2019  ถือเป็นครั้งที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ระบบงบประมาณปัจจุบันเริ่มใช้ในปี 1976 สหรัฐฯ มีช่องว่างงบประมาณ 20 ครั้ง นำไปสู่ชัตดาวน์ 10 ครั้ง ส่งผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนที่พึ่งพาบริการภาครัฐ

รัฐบาลสหรัฐฯ ปิดมาแล้วกี่ครั้ง

กระบวนการงบประมาณปัจจุบันถูกกำหนดขึ้นตั้งแต่ปี 1976 ตั้งแต่นั้นมารัฐบาลสหรัฐฯ ประสบกับช่องว่างทางงบประมาณ (funding gaps) จำนวน 20 ครั้ง และนำไปสู่การปิดทำการ (shutdowns) ทั้งหมด 10 ครั้ง โดยมีระยะเวลาแตกต่างกัน

ก่อนทศวรรษ 1980 ช่องว่างทางงบประมาณมักไม่ได้นำไปสู่การชัตดาวน์ รัฐบาลยังคงดำเนินงานต่อไปภายใต้ความคาดหวังว่างบประมาณจะกลับมาในอนาคต แต่ตั้งแต่ปี 1982 เป็นต้นมา หลังจากที่มีการวางหลักการรองรับการชัตดาวน์ ช่องว่างงบประมาณได้กลายเป็นเหตุให้เกิดการปิดทำการเต็มรูปแบบหรือบางส่วนบ่อยครั้งขึ้น

เกิดอะไรขึ้นในช่วงชัตดาวน์รัฐบาล

รัฐบาลชัตดาวน์ทำให้บริการภาครัฐที่ไม่จำเป็นต้องหยุดชั่วคราวหรือดำเนินงานแบบลดขอบเขต เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางบางส่วนอาจถูกพักงานชั่วคราว (furloughed) หรือถูกเลิกจ้างชั่วคราว ขณะที่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติภารกิจสำคัญยังคงทำงานต่อไปโดยไม่ได้รับค่าจ้าง

ใครได้รับผลกระทบบ้าง

ชัตดาวน์ส่งผลโดยตรงต่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางที่ไม่จำเป็น (non-essential employees) รวมถึงประชาชนและธุรกิจที่พึ่งพาบริการภาครัฐ โดยเจ้าหน้าที่กลุ่ม non-essential มักถูกพักงานชั่วคราว ส่วนบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่สำคัญและไม่ได้ขึ้นอยู่กับงบประมาณรายปี เช่น ทหาร เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย และเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ ยังคงต้องทำงาน

นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางบางประเภทที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “excepted” ซึ่งแม้การทำงานของพวกเขาจะขึ้นอยู่กับงบประมาณรายปี แต่ยังคงถูกบังคับให้ทำงานต่อเนื่องในช่วงชัตดาวน์ตามกฎหมาย โดยหน่วยงานภาครัฐมีข้อผูกพันทางกฎหมายที่จะต้องจ่ายค่าจ้างให้บุคลากรกลุ่มนี้ แม้จะไม่สามารถจ่ายได้ในทันทีระหว่างชัตดาวน์ก็ตาม