KEY
POINTS
การพบกันระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เคียร์ สตาร์เมอร์ ที่เชกเคอร์ส (Chequers) กลายเป็นเวทีตอกย้ำความแน่นแฟ้นของ “สัมพันธ์พิเศษ” ที่ทั้งสองประเทศยึดถือมายาวนาน โดยทั้งสองผู้นำต่างเลือกแสดงออกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันมากกว่าขับเน้นความขัดแย้ง แม้มีประเด็นต่างมุมมองด้านนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องรัสเซียและปาเลสไตน์ แต่บรรยากาศตลอดการเยือนรัฐพิธี 2 วันเต็มกลับถูกบันทึกไว้ด้วยถ้อยคำอบอุ่นและความร่วมมือด้านเศรษฐกิจครั้งประวัติศาสตร์
การแถลงข่าวร่วมครั้งสุดท้ายเต็มไปด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย ทรัมป์ย้ำว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และอังกฤษคือ “สายสัมพันธ์ที่ไม่อาจทำลายได้” พร้อมยกย่องสตาร์เมอร์ว่าเป็นนักเจรจาที่แข็งแกร่งซึ่งสามารถบรรลุข้อตกลงด้านภาษีการค้าครั้งแรกกับสหรัฐฯ แม้อังกฤษยังไม่ได้สิทธิ์ภาษีนำเข้าเหล็กต่ำลงตามที่ต้องการ ขณะที่สตาร์เมอร์ย้ำว่า “เราต่ออายุสัมพันธ์พิเศษสำหรับยุคใหม่แล้ว” พร้อมให้คำมั่นว่าความร่วมมือนี้จะก่อประโยชน์เป็นรูปธรรมต่อการสร้างงาน การเติบโต และลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการประกาศเม็ดเงินลงทุนจากสหรัฐฯ สู่สหราชอาณาจักรมูลค่า 150,000 ล้านปอนด์ (205,000 ล้านดอลลาร์) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจใหญ่ 250,000 ล้านปอนด์ที่ทั้งสองฝ่ายเชื่อว่าจะเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่เข้าร่วม อาทิ Microsoft, Nvidia, OpenAI และ Blackstone โดยดีลเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวมีมูลค่าถึง 31,000 ล้านปอนด์ และ Blackstone อัดฉีดเพิ่มอีก 100,000 ล้านปอนด์ ทำให้สตาร์เมอร์สามารถใช้เวทีนี้ขายจุดแข็งของอังกฤษในฐานะศูนย์กลางการเงิน เทคโนโลยี และพลังงานที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากอเมริกา
อย่างไรก็ตาม ความเห็นต่างด้านการต่างประเทศยังคงอยู่ แม้ทั้งสองพยายามเลี่ยงการปะทะตรง ๆ สตาร์เมอร์และผู้นำยุโรปยังคงกดดันให้ทรัมป์เพิ่มแรงกดดันทางเศรษฐกิจต่อประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย แต่ทรัมป์เลือกวิจารณ์เพียงว่าปูติน “ทำให้ผิดหวัง” และแสดงความไม่พอใจที่บางชาติยุโรปยังคงซื้อน้ำมันรัสเซีย โดยเชื่อว่าการทำให้ราคาน้ำมันต่ำเท่านั้นที่จะลงโทษมอสโกได้ ขณะเดียวกัน ทรัมป์ยังย้ำจุดยืนไม่เห็นด้วยกับการรับรองปาเลสไตน์ ในขณะที่สตาร์เมอร์ประกาศชัดว่าอังกฤษพร้อมพิจารณาเดินหน้าหากอิสราเอลไม่ยอมบรรเทาความเดือดร้อนในกาซาและหาทางยุติสงครามกับฮามาส
ในอีกด้าน ทั้งคู่ยังเลี่ยงการตอบคำถามอ่อนไหวเกี่ยวกับความเชื่อมโยงกับเจฟฟรีย์ เอพสตีน นักการเงินผู้ล่วงลับที่มีประวัติฉาวโฉ่ หลังจากสตาร์เมอร์เพิ่งปลดปีเตอร์ แมนเดลสัน อดีตเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำวอชิงตันออกจากตำแหน่งเนื่องจากปมสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเอพสตีน ทรัมป์ตอบเพียงว่า “ไม่รู้จักเขาจริง ๆ” และโยนคำตอบกลับไปให้สตาร์เมอร์ซึ่งยืนยันว่าตัดสินใจไปตามข้อมูลใหม่ที่ปรากฏ
การเยือนครั้งนี้ยังเป็นโอกาสให้ทรัมป์หยิบยกคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของอังกฤษ โดยกล่าวว่าสหราชอาณาจักรคือผู้วางรากฐานของกฎหมาย เสรีภาพ การพูด และสิทธิปัจเจกบุคคล และโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษต้องเดินหน้าปกป้องคุณค่าเหล่านี้ แม้จะเป็นอีกจุดที่สะท้อนมุมมองต่างจากการตีความเสรีภาพสื่อและการพูดของอังกฤษกับสหรัฐฯ แต่ทั้งสองก็เลือกหลีกเลี่ยงการเปิดศึกถ้อยคำ
ท้ายที่สุด เมื่อการแถลงข่าวสิ้นสุดลง สตาร์เมอร์แสดงท่าทีโล่งใจ ก่อนพาทรัมป์ออกจากห้องโถงใหญ่ของเชกเคอร์ส ปิดฉากการเยือนรัฐพิธีครั้งที่สองของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนนี้ด้วยภาพลักษณ์แห่งมิตรภาพและความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่น่าจับตา ท่ามกลางความคาดหวังว่าดีลมหาศาลและ “สัมพันธ์พิเศษ” ที่เพิ่งต่ออายุ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อเศรษฐกิจและบทบาททางการเมืองโลกของทั้งสองประเทศในอนาคต