กูรูเตือน ศก.สหรัฐฯ ส่งสัญญาณป่วน เฟดเลี่ยงไม่พ้นหั่นดอกเบี้ย

15 ก.ย. 2568 | 09:22 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ก.ย. 2568 | 09:22 น.

ประกิต สิริวัฒนเกตุ ชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯอ่อนแรง จ้างงานหด เฟดอาจลดดอกเบี้ยถี่ กดดันตลาดหุ้น แต่หนุนราคาทองคำพุ่ง นักลงทุนต้องระวังความเสี่ยง

KEY

POINTS

  • เศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณขัดแย้งกัน โดยข้อมูลการจ้างงาน (Hard Data) อ่อนแออย่างน่ากังวล สวนทางกับข้อมูลฝั่งความเชื่อมั่น (Soft Data) ที่ยังดูดี
  • ตัวเลขการจ้างงานที่หดตัวรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก สร้างแรงกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อพยุงเศรษฐกิจ
  • ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการลดดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นสัญญาณอันตราย เพราะเกิดจากเศรษฐกิจที่เริ่มมีปัญหา ไม่ใช่เพราะเงินเฟ้ออยู่ในการควบคุม ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะถดถอยได้

เศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังส่งสัญญาณที่น่ากังวล หลังตัวเลขการจ้างงานล่าสุดชี้ชัดถึงภาวะอ่อนแรง โดย ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ. เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ เปิดเผยว่า ภาพรวมข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ “ซอฟต์ดาต้า” เช่น ดัชนี PMI, ISM ทั้งภาคบริการและการผลิต รวมถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคและยอดค้าปลีก ซึ่งออกมาดีกว่าคาด ไม่ได้อ่อนแอมากนัก แต่ในขณะที่ “ฮาร์ดดาต้า” โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานกลับน่าเป็นห่วงอย่างมาก

ข้อมูลล่าสุดสะท้อนว่า การจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียง 20,000 กว่าตำแหน่ง และเมื่อมีการปรับแก้ตัวเลขย้อนหลัง พบว่าในปีที่ผ่านมา การจ้างงานที่เคยรายงานว่าขยายตัวกว่า 1.5 ล้านตำแหน่ง แท้จริงแล้วกลับติดลบถึง 900,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่สอง ทำให้ตลาดถึงกับ “ช็อก” เพราะแทนที่เศรษฐกิจจะแข็งแรงกลับสะท้อนความเปราะบางชัดเจน

ประกิตระบุว่า การจ้างงานที่อ่อนแอทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ถูกกดดันให้ต้องปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งแม้ก่อนหน้านี้เฟดส่งสัญญาณยืนยันว่าจะยังไม่ปรับ แต่หลังตัวเลขการจ้างงาน “ช็อกโลก” เฟดก็หันมาแสดงท่าทีว่ามีแนวโน้มลดดอกเบี้ย โดยมีการคาดการณ์ว่าอาจลดถึง 0.5% ไม่ใช่เพียง 0.25% และอาจลดต่อเนื่องถึง 3 ครั้งในปีนี้ และอีก 2 ครั้งในปีหน้า ทำให้อัตราดอกเบี้ยมีสิทธิ์ปรับลงจากระดับ 4.5% ปัจจุบัน เหลือเพียง 3-3.25%

สิ่งที่น่ากังวลคือ การลดดอกเบี้ยรอบนี้ไม่ใช่เพราะเศรษฐกิจแข็งแรงจนเงินเฟ้อลดลง แต่เป็นการลดเพราะเศรษฐกิจเริ่มมีปัญหา หากสถานการณ์ลุกลามจนเข้าสู่ภาวะถดถอย (recession) จะยิ่งกระทบแรงขึ้นไปอีก ขณะที่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากสงครามการค้าและการปรับขึ้นภาษี ที่อาจซ้ำเติมเศรษฐกิจให้ชะลอลง

ประกิตย้ำว่า ตนอยู่ใน “ค่ายที่ไม่เห็นด้วย” กับการเร่งลดดอกเบี้ย เพราะยังมีความเสี่ยงจากนโยบายการคลังสหรัฐฯที่ใช้งบประมาณก้อนใหญ่ ซึ่งอาจทำให้เงินเฟ้อกลับมาพุ่งได้ในอนาคต เขามองว่าการตัดสินใจของเฟดครั้งนี้สะท้อนถึงความสับสนกับข้อมูลที่ขัดแย้งกัน และยังไม่สามารถคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจได้ชัดเจน

สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้ดัชนี P/E จะอยู่ในระดับสูงเกือบประวัติการณ์ที่ราว 22 เท่า แต่ประกิตมองว่าหุ้นกลุ่มใหญ่ เช่น NVIDIA, Microsoft, Apple และ Amazon ยังไม่ได้แพงจนเกินไปเมื่อเทียบอดีต จึงยังไม่เข้าข่ายฟองสบู่ อย่างไรก็ตาม หากเฟดปรับลดดอกเบี้ยจริง ตลาดหุ้นอาจเผชิญแรงขายทำกำไร (sell on fact) ระยะสั้น เนื่องจากนักลงทุนรับข่าวไปแล้วพอสมควร

ด้านราคาทองคำ ประกิตประเมินว่า ยังคงได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะการเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางต่างๆ นำโดยจีนที่เพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรองมากขึ้น หลังรัสเซียถูกอายัดทรัพย์สินและดอลลาร์ในต่างประเทศ ทำให้เกิดกระแสเปลี่ยนจากการถือเงินดอลลาร์มาเป็นทองคำ อีกทั้งสถานการณ์สงครามรัสเซีย–ยูเครน และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์กับจีนและอินเดีย ยังคงเป็นแรงกดดันต่อค่าเงินดอลลาร์และหนุนราคาทองคำ

นอกจากนี้ กระแสเงินลงทุนที่ไหลเข้ากองทุน ETF ทองคำในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาในปริมาณมหาศาล ก็เป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญ ทำให้แนวโน้มราคาทองคำยังสดใส และอาจยืนระยะในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยต่อเนื่อง

ช่วงนี้นักลงทุนควรรอดูทิศทางให้ชัดเจนก่อน เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และตลาดหุ้นอาจเผชิญแรงกดดันจากการปรับลดดอกเบี้ย ส่วนทองคำยังมีปัจจัยหนุนให้ไปต่อ แต่ควรลงทุนด้วยความระมัดระวังและกระจายความเสี่ยงเป็นหลัก