เบื้องหลังดีลสหรัฐฯ-ฟิลิปปินส์ ศึกชิงอิทธิพลในอินโด-แปซิฟิก

23 ก.ค. 2568 | 02:52 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ก.ค. 2568 | 02:54 น.

จากคำขู่ขึ้นภาษีนำเข้าสู่เวทีเจรจาระดับผู้นำ สหรัฐฯ ใช้แรงกดดันทางเศรษฐกิจต่อฟิลิปปินส์ ก่อนดีลการค้าในที่สุด ท่ามกลางการแข่งขันในอินโด-แปซิฟิก

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ออกมาประกาศว่า บรรลุข้อตกลงการค้ากับฟิลิปปินส์อย่างเป็นทางการ ได้กลายเป็นจุดสิ้นสุดของกระบวนการต่อรองที่ยืดเยื้อและเข้มข้น ซึ่งใช้แรงกดดันด้านภาษีเป็นเครื่องมือสำคัญในการเจรจา และเกิดขึ้นท่ามกลางการแข่งขันเพื่อช่วงชิงอิทธิพลในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก

ก่อนที่ดีลจะถูกประกาศว่า “ปิดสำเร็จ” การพบกันอย่างเป็นทางการระหว่าง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา กับ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ณ ทำเนียบขาว เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา กลายเป็นสัญญาณชัดเจนว่าทั้งสองประเทศใกล้จะบรรลุข้อตกลงการค้าครั้งสำคัญ ซึ่งจะเป็นหมุดหมายใหม่ของความร่วมมือทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ท่ามกลางบรรยากาศการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์กับจีนที่ทวีความรุนแรง

เราจะหารือกันเรื่องการค้าในวันนี้ และเราก็ใกล้มากที่จะปิดดีลการค้าซึ่งเป็นดีลใหญ่มากจริงๆ

ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวในช่วงเริ่มต้นการประชุมกับผู้นำฟิลิปปินส์ พร้อมเน้นว่าทั้งสองประเทศทำธุรกิจร่วมกันมากและแสดงความแปลกใจต่อตัวเลขการค้าที่เรียกว่า “ใหญ่มาก” ซึ่งเขาเชื่อว่าจะยิ่งขยายตัวมากขึ้นหลังข้อตกลงนี้

การเยือนของมาร์กอส จูเนียร์ ถือเป็นการพบปะครั้งแรกของผู้นำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับทรัมป์ในวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง หลังจากสหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์ได้เดินหน้าเจรจาและบรรลุข้อตกลงการค้ากับเวียดนามและอินโดนีเซียไปแล้ว โดยเวียดนามตกลงในกรอบภาษีขั้นพื้นฐานที่ 20% และอินโดนีเซียที่ 19% ส่งผลให้ฟิลิปปินส์กลายเป็นเป้าหมายต่อไปในการวางหมากยุทธศาสตร์การค้าของวอชิงตันในภูมิภาคที่มีความสำคัญทางทหารและเศรษฐกิจอย่างยิ่ง

แม้สหรัฐฯ จะต้องการดึงฟิลิปปินส์ไว้ในฝั่งพันธมิตรเพื่อรักษาความสมดุลกับจีน แต่ทรัมป์ยังคงเดินหน้าใช้แนวทาง “ต่อรองหนัก” กับแม้แต่พันธมิตรใกล้ชิด โดยเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา และได้ขยับระดับการขู่ขึ้นภาษีนำเข้าจากฟิลิปปินส์จาก 17% ที่เคยประกาศในเดือนเมษายน ไปอยู่ที่ระดับ 20% ในลักษณะของ “ภาษีตอบโต้” (Reciprocal Tariffs) เพื่อกดดันการเจรจาให้เร่งรัดและอยู่ในเงื่อนไขที่สหรัฐฯ ต้องการ

ก่อนหน้านี้ ศูนย์ยุทธศาสตร์และการศึกษานานาชาติ (CSIS) ในกรุงวอชิงตัน โดยเกรกอรี โพลิง นักวิเคราะห์ด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุว่า ฟิลิปปินส์อาจมีโอกาสเจรจาเงื่อนไขที่ดีกว่าเวียดนามและอินโดนีเซีย ด้วยน้ำหนักของความสัมพันธ์ทางทหารที่สำคัญในสายตาสหรัฐฯ

ด้านทรัมป์ย้ำถึงบทบาทสำคัญของฟิลิปปินส์ในฐานะพันธมิตรทางทหารว่า เป็นประเทศที่มีความสำคัญทางการทหารอย่างมาก และเพิ่งมีกิจกรรมการซ้อมรบร่วมกันที่ยอดเยี่ยมไม่นานมานี้

มาร์กอส จูเนียร์ เดินทางถึงสหรัฐฯ ตั้งแต่วันอาทิตย์ และได้เข้าพบรัฐมนตรีกลาโหม พีท เฮกเซธ ที่กระทรวงกลาโหมเมื่อวันจันทร์ ก่อนเข้าหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โค รูบิโอ และมีกำหนดพบปะกับผู้นำภาคธุรกิจสหรัฐฯ ที่กำลังลงทุนในฟิลิปปินส์ด้วย เพื่อขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ

ฝ่ายฟิลิปปินส์ให้ข้อมูลว่า การเยือนครั้งนี้ มาร์กอสต้องการเน้นย้ำว่าหากฟิลิปปินส์จะสามารถทำหน้าที่เป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งของสหรัฐฯ ได้อย่างแท้จริงในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ประเทศจะต้องมีเศรษฐกิจที่เข้มแข็งควบคู่กันไป

ราเคล โซลาโน รักษาการปลัดกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ทีมงานด้านการค้าของฟิลิปปินส์กำลังหารือกับเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อพยายามปิดดีลให้ได้ภายใต้หลักการ “ยอมรับได้ร่วมกัน และเป็นประโยชน์ร่วมกัน”