ขณะที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเผชิญความท้าทายด้านพัฒนาอย่างยั่งยืน รายงานล่าสุดจากสถาบัน Lowy Institute แห่งออสเตรเลียได้ส่งสัญญาณเตือนแรงว่า เงินช่วยเหลือจากนานาชาติเพื่อการพัฒนาในภูมิภาคนี้กำลังเผชิญภาวะหดตัวครั้งใหญ่ โดยคาดว่าภายในปี 2569 จะลดลงเหลือเพียง 26.5 พันล้านดอลลาร์ จากระดับ 29 พันล้านดอลลาร์ในปี 2566 ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ที่อยู่ราว 33 พันล้านดอลลาร์อย่างชัดเจน
การตัดลดครั้งนี้ส่วนใหญ่มาจากชาติตะวันตก ทั้งในยุโรป สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ที่หันเหทรัพยากรกลับไปใช้ในการเสริมสร้างความมั่นคงทางทหารและตอบโจทย์นโยบายภายในประเทศ โดยเฉพาะภายใต้บริบทของสงครามรัสเซีย-ยูเครนและทิศทางการเมืองที่เอียงขวาอย่างชัดเจนในหลายประเทศ รายงานระบุว่า การให้ทุนแบบทวิภาคี ซึ่งเป็นเงินช่วยเหลือจากรัฐต่อรัฐ มีแนวโน้มลดลงถึง 20% จากประมาณ 11 พันล้านดอลลาร์ในปี 2566 เหลือเพียง 9 พันล้านดอลลาร์ในปี 2569 และกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือชาติที่ยากจนในอาเซียน โดยเฉพาะกัมพูชา เมียนมา ลาว และติมอร์-เลสเต
พื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงคือ “ภาคสังคม” เช่น ระบบสาธารณสุข การศึกษา และภาคประชาสังคม ซึ่งเดิมพึ่งพาเงินทุนจากการให้ความช่วยเหลือแบบทวิภาคีเป็นหลัก และมีแนวโน้มว่าจะถูกลดความสำคัญลงเมื่อแหล่งทุนตะวันตกหดตัว
ในมิติการเมืองระหว่างประเทศ รายงานได้ชี้ให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยเฉพาะบทบาทของสหรัฐฯ ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนมากที่สุด หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัดสินใจปิดหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือ USAID และลดงบประมาณช่วยเหลือระหว่างประเทศเกือบ 60 พันล้านดอลลาร์ในช่วงต้นปี ก่อนที่วุฒิสภาจะมีความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมในการลดงบอีก 8 พันล้านดอลลาร์ในเวลาต่อมา
ขณะเดียวกัน ประเทศในเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ กลายเป็นผู้เล่นสำคัญที่เริ่มมีบทบาทชัดเจนมากขึ้นในพื้นที่ที่ชาติตะวันตกกำลังก้าวถอยหลัง โดยเฉพาะจีนที่เริ่มฟื้นตัวด้านความช่วยเหลือหลังจากได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยในปี 2566 จีนได้มอบเงินช่วยเหลือในลักษณะต่างๆ มูลค่ารวมถึง 4.9 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ความช่วยเหลือจากปักกิ่งยังคงเน้นไปที่โครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟและท่าเรือ มากกว่าด้านสังคม เช่น การศึกษา หรือการส่งเสริมประชาธิปไตย
ท่ามกลางการลดบทบาทของตะวันตกและการขยายอิทธิพลของจีน รายงานระบุว่า ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้กำลังปรับยุทธศาสตร์ความช่วยเหลือเพื่อขยับเข้ามาในพื้นที่ที่เคยเป็นของตะวันตก โดยมีความพยายามในการสนับสนุนโครงการที่เกี่ยวข้องกับประชาสังคมและธรรมาภิบาล ตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่นที่ให้ทุนสนับสนุนโครงการด้านประชาธิปไตยและการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติที่เปราะบางในปี 2566 ขณะที่เกาหลีใต้ก็ให้ทุนแก่โครงการที่เกี่ยวข้องกับความโปร่งใสในระบบศาลของเวียดนามและการป้องกันความรุนแรงทางเพศต่อผู้หญิง
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการบางรายยังคงแสดงความกังวลว่า ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เองก็กำลังเผชิญแรงกดดันจากสหรัฐฯ ให้เพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมเช่นกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อขีดความสามารถในการให้ความช่วยเหลือเช่นเดียวกับฝั่งยุโรป โดยศาสตราจารย์ Hiroaki Shiga จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโยโกฮามา กล่าวว่ามีแนวโน้มที่งบช่วยเหลือจากญี่ปุ่นจะถูกลดทอนลงต่อไปอีก เพราะรัฐบาลต้องเผชิญกับแรงกดดันจากพรรคฝ่ายขวาที่ผลักดันแนวคิด “ญี่ปุ่นต้องมาก่อน” และปฏิเสธการขึ้นภาษีจากประชาชนเพื่อเพิ่มงบช่วยเหลือระหว่างประเทศ
อ้างอิง: Aljazeera