โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศอย่างเป็นทางการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารว่า สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าทองแดงสูงถึงราว 50% ซึ่งนับเป็นมาตรการล่าสุดในการขยายสงครามการค้าออกไปอีก ทันทีหลังแถลงการณ์ ราคาทองแดงในตลาดสหรัฐฯ พุ่งขึ้นกว่า 10% มาอยู่ที่ระดับสูงกว่า 5.50 ดอลลาร์ต่อปอนด์ในการซื้อขายล่วงหน้าบนตลาดโลหะของ CME Group โดยนักวิเคราะห์มองว่ายังมีโอกาสปรับขึ้นต่อเนื่อง
ฮาเวิร์ด ลัทนิค รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมผ่านการให้สัมภาษณ์กับ CNBC ในช่วงบ่ายวันเดียวกันว่า มาตรการดังกล่าวน่าจะมีผลบังคับใช้ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม หรืออย่างช้าที่ 1 สิงหาคม ซึ่งเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้มาก
เฮเลน อามอส นักวิเคราะห์สินค้าของ BMO ระบุว่า อัตราภาษีที่ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด ทำให้ราคาทองแดงในสหรัฐฯ มีแนวโน้มซื้อขายสูงกว่าราคาทั่วโลกบนตลาดโลหะลอนดอน (LME) ถึงราว 50% ขณะเดียวกัน หุ้นของบริษัทเหมืองแร่ทองแดงรายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง Freeport-McMoRan ที่ตั้งอยู่ในแอริโซนา พุ่งขึ้นกว่า 5.6% หลังข่าวประกาศ
ข้อมูลจากสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ (US Geological Survey) ระบุว่า ประเทศที่ส่งออกทองแดงสำเร็จรูปมายังสหรัฐฯ มากที่สุดคือ ชิลี ตามมาด้วยแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งอาจได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการใหม่นี้
มาตรการภาษีทองแดงครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากที่ทรัมป์ขู่จะเรียกเก็บภาษี “ตอบโต้” สูงกับคู่ค้า 14 ประเทศ รวมถึงญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เริ่มมีผลในวันที่ 1 สิงหาคม นอกจากนี้ เขายังกล่าวในวันอังคารเดียวกันด้วยว่า มีแผนจะเก็บภาษียาในอัตราสูงสุดถึง 200% หลังจากช่วงเปลี่ยนผ่านซึ่งอาจยาวนานถึงหนึ่งปีครึ่ง
การประกาศขึ้นภาษีทองแดงของทรัมป์ไม่เพียงส่งแรงสะเทือนต่อตลาดทองแดงโลก แต่ยังตอกย้ำท่าทีแข็งกร้าวทางการค้าของสหรัฐฯ ที่มีต่อคู่ค้าสำคัญ ๆ อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลว่ามาตรการเหล่านี้อาจสร้างแรงกดดันให้ต้นทุนวัตถุดิบสำคัญที่ใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกล และอุตสาหกรรมก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในระยะข้างหน้า