ตลาดน้ำมันโลกสะเทือนอีกครั้ง หลังจาก OPEC+ หรือกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ประกาศเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบในเดือนสิงหาคมมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึง 548,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากที่เคยปรับเพิ่มเพียง 411,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา การตัดสินใจนี้มีผลทันที ทำให้ราคาน้ำมันปรับลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) ปรับตัวลดลง 0.69% อยู่ที่ 67.83 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ลดลง 1.42% อยู่ที่ 66.05 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
การตัดสินใจของ OPEC+ ในครั้งนี้ถือเป็นการเพิ่มกำลังการผลิตที่มีความทะเยอทะยาน เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดน้ำมัน หลังจากที่ประเทศสมาชิกหลายประเทศลดการผลิตลงเพื่อรักษาราคาในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันกลับได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะปัญหาภาษีของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันในอนาคต
ทาง Goldman Sachs ระบุว่า OPEC+ อาจจะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 550,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนกันยายน โดยการเพิ่มการผลิตนี้จะทำให้ OPEC+ กลับมาผลิตน้ำมันเกือบ 80% ของการลดกำลังผลิต 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวันที่ได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกหลักของ OPEC+ ยังแสดงความมั่นใจในความต้องการน้ำมันโลกโดยการปรับเพิ่มราคาน้ำมันดิบ Arab Light สำหรับตลาดเอเชียในเดือนสิงหาคม ทำให้ตลาดต้องจับตาดูผลกระทบจากการตัดสินใจนี้อย่างใกล้ชิด
ในขณะเดียวกัน การปรับเพิ่มภาษีของสหรัฐฯ ที่จะมีผลในวันที่ 1 สิงหาคม ก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องจับตา โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศการปรับขึ้นภาษีในหลายประเทศจากอัตราภาษีพื้นฐาน 10% ไปจนถึงอัตราภาษีสูงสุดที่อาจแตะถึง 50% ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและส่งผลให้ความต้องการน้ำมันลดลงอีกด้วย
ตลาดน้ำมันในเดือนสิงหาคมจึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ โดยเฉพาะการเพิ่มกำลังผลิตที่ OPEC+ ได้ประกาศไว้ ซึ่งจะส่งผลต่อราคาและความคาดหวังในตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการปรับราคาน้ำมัน หรือปัจจัยทางเศรษฐกิจที่อาจส่งผลต่อความต้องการน้ำมันในอนาคต ดังนั้น นักลงทุนและผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมน้ำมันจึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดในช่วงเดือนนี้และในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้