โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่าความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลได้ยุติลงแล้ว พร้อมระบุว่าสหรัฐฯ จะเริ่มต้นเจรจากับอิหร่านภายในสัปดาห์หน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เตหะรานยุติโครงการนิวเคลียร์อย่างถาวร พร้อมกล่าวอย่างมั่นใจว่านี่คือ "ชัยชนะของทุกฝ่าย"
การแถลงของทรัมป์มีขึ้นระหว่างการเข้าร่วมประชุมสุดยอด NATO ที่กรุงเฮก โดยทรัมป์เปิดเผยว่าสหรัฐฯ ตัดสินใจเข้าร่วมการโจมตีของอิสราเอล โดยใช้ระเบิดเจาะบังเกอร์ถล่มเป้าหมายโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งเขากล่าวว่าเป็นการ "ล้างบาง" อย่างรุนแรง แม้รายงานเบื้องต้นของสำนักงานข่าวกรองกลาโหมสหรัฐฯ จะประเมินว่าความเสียหายอาจชะลอการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านได้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น
ทรัมป์ยังกล่าวว่าเขาไม่เชื่อว่าอิหร่านจะหันกลับไปพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อีก โดยอ้างว่าเตหะรานในขณะนี้ "ต้องการฟื้นฟูประเทศ" มากกว่าที่จะคิดเรื่องเสริมสมรรถนะยูเรเนียม พร้อมระบุว่าแม้การลงนามข้อตกลงอาจเกิดขึ้นได้ในการเจรจา แต่ส่วนตัวเขา "ไม่คิดว่าจำเป็นขนาดนั้น"
แม้ทรัมป์จะไม่อ้างอิงหน่วยข่าวกรองของอิสราเอลโดยตรง แต่ทำเนียบขาวก็ได้เผยแพร่ประเมินจากหน่วยงานด้านนิวเคลียร์ของอิสราเอล ซึ่งเชื่อว่าการโจมตีในครั้งนี้ "ได้ถอยร่นความสามารถของอิหร่านในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ไปอีกหลายปี"
ในด้านของสหประชาชาติ ราฟาเอล กรอสซี ผู้อำนวยการสำนักงานพลังงานปรมาณูสากล (IAEA) ได้ออกมาเตือนว่าการประเมินความเสียหายโดยใช้เพียงมาตรวัดระยะเวลานั้นไม่ใช่ทางออกระยะยาว พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการให้ผู้ตรวจสอบนานาชาติกลับเข้าสำรวจไซต์นิวเคลียร์ของอิหร่านโดยตรง เพื่อประเมินสถานการณ์อย่างแท้จริง
ในมุมของประชาชน ทั้งในอิหร่านและอิสราเอล ต่างก็หายใจโล่งอกหลังการหยุดยิงประกาศใช้ แต่ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับอนาคต โดยในกรุงเตหะราน ผู้คนเริ่มกลับเข้าสู่ชีวิตปกติ แม้ยังไม่แน่ใจว่าทางการจะใช้สถานการณ์นี้เข้มงวดกับสิทธิเสรีภาพมากขึ้นหรือไม่ ขณะที่ในเทลอาวีฟ ผู้คนกล่าวถึงความโล่งใจที่เด็กๆ กลับไปโรงเรียนได้ แต่ก็ยอมรับว่าเหนื่อยล้าจากความตึงเครียดตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
ความขัดแย้งที่เริ่มต้นด้วยการโจมตีแบบสายฟ้าแลบของอิสราเอลเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ส่งผลให้ผู้นำระดับสูงของกองทัพอิหร่านและนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์จำนวนมากเสียชีวิต อิหร่านตอบโต้ด้วยขีปนาวุธที่ทะลุระบบป้องกันของอิสราเอลได้เป็นครั้งแรก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 28 รายในอิสราเอล ขณะที่อิหร่านมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 627 ราย และบาดเจ็บเกือบ 5,000 ราย แม้จะไม่สามารถตรวจสอบตัวเลขได้อย่างอิสระเนื่องจากข้อจำกัดด้านสื่อ
อิสราเอลอ้างว่าบรรลุเป้าหมายในการทำลายไซต์นิวเคลียร์และขีปนาวุธของอิหร่าน ขณะที่อิหร่านก็อ้างว่าเป็นฝ่ายยุติสงครามได้ด้วยการเจาะระบบป้องกันของอิสราเอล
การที่อิสราเอลสามารถโจมตีเป้าหมายระดับผู้นำของอิหร่านได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ได้กลายเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดต่อผู้นำทางศาสนาในอิหร่าน โดยเฉพาะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ต้องเตรียมหาผู้สืบตำแหน่งสูงสุดแทน อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี วัย 86 ปี ซึ่งปกครองประเทศมานานถึง 36 ปี
ประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียน ผู้นำสายกลางที่เพิ่งได้รับเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว ออกแถลงการณ์ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เปิดโอกาสให้เกิดการปฏิรูปภายใน พร้อมกล่าวว่า "สงครามและความเห็นใจที่เกิดขึ้นระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ เป็นโอกาสในการเปลี่ยนมุมมองการบริหารและพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ เพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน"
แม้จะมีสัญญาณของการปรับท่าที แต่อิหร่านก็ยังแสดงจุดยืนแข็งกร้าว โดยในวันเดียวกันมีการประหารชีวิตชาย 3 คนที่ถูกตัดสินว่าร่วมมือกับหน่วยข่าวกรองมอสสาดของอิสราเอล และมีการจับกุมผู้ต้องสงสัยกว่า 700 คนในช่วงสงคราม ฐานต้องสงสัยว่ามีความเกี่ยวข้องกับอิสราเอล
ในช่วงสงคราม ผู้นำทั้งทรัมป์และนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล เคยออกมาพูดเป็นนัยว่าสถานการณ์อาจนำไปสู่การเปลี่ยนระบอบการปกครองของอิหร่าน แต่หลังการหยุดยิง ทรัมป์กลับย้ำว่าไม่ต้องการเห็น "การเปลี่ยนระบอบ" เพราะเชื่อว่าจะนำไปสู่ความวุ่นวายมากกว่า