รัฐบาลสหราชอาณาจักรประกาศเดินหน้าซื้อเครื่องบินขับไล่ F-35A จำนวน 12 ลำจากบริษัทล็อกฮีด มาร์ติน ซึ่งสามารถติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ยุทธวิธีได้ ถือเป็นการขยับขยายศักยภาพด้านอาวุธนิวเคลียร์ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ นับเป็นการเพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับ “พลังป้องปรามนิวเคลียร์” ของประเทศ ที่ปัจจุบันพึ่งพาระบบเรือดำน้ำเป็นหลัก โดยนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ระบุว่า การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนของโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
“ในยุคที่ความไม่แน่นอนรุนแรงขึ้น เราไม่สามารถมั่นใจในสันติภาพได้อีกต่อไป นี่คือเหตุผลว่าทำไมรัฐบาลของผมจึงลงทุนด้านความมั่นคงของชาติ” นายกรัฐมนตรีสตาร์เมอร์กล่าว พร้อมย้ำว่าอังกฤษจะต้องเตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์สงครามภายในประเทศ ซึ่งเป็นคำเตือนที่สะท้อนความตึงเครียดของสถานการณ์ระหว่างประเทศในปัจจุบันอย่างชัดเจน
การจัดซื้อ F-35A ครั้งนี้จะทำให้กองทัพอากาศอังกฤษกลับมามีศักยภาพในการติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเย็น โดยก่อนหน้านี้ สหราชอาณาจักรถอนขีดความสามารถด้านนิวเคลียร์จากเครื่องบินเมื่อปี 1998 จากการปลดประจำการระเบิดอิสระ WE-177 ซึ่งเป็นอาวุธนิวเคลียร์ที่สามารถทิ้งจากอากาศได้อย่างอิสระ
ที่ผ่านมา อังกฤษมีระบบป้องปรามนิวเคลียร์เพียงเสาเดียวคือระบบขีปนาวุธทรายเดนต์ (Trident) บนเรือดำน้ำ ซึ่งประสบปัญหาการทดสอบล้มเหลวถึงสองครั้ง โดยล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว และก่อนหน้านั้นในปี 2016 ทำให้เกิดความกังวลเรื่องความเสถียรของระบบนี้
นอกจากจะเพิ่มศักยภาพของตนเองแล้ว อังกฤษยังต้องการสนับสนุนพันธมิตร NATO โดยการจัดหาเครื่องบินที่สามารถติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ได้ หรือที่เรียกว่า “Dual-Capable Aircraft” ซึ่งสามารถนำไปใช้ในกรณีเกิดความขัดแย้งตามกลยุทธ์ของ NATO ได้โดยตรง มาร์ก รุตต์ เลขาธิการ NATO กล่าวถึงดีลนี้ว่า “นี่เป็นอีกหนึ่งการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากอังกฤษต่อ NATO”
เครื่องบิน F-35A มีความสามารถในการบรรทุกระเบิดนิวเคลียร์ B61 ซึ่งผลิตโดยสหรัฐอเมริกา โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอังกฤษรายหนึ่งที่ไม่เปิดเผยชื่อ ระบุว่า หากอังกฤษจะติดตั้งอาวุธดังกล่าวจริง ก็จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในการจัดหาอาวุธให้ ซึ่งปัจจุบัน สหรัฐฯ ได้ถอนอาวุธนิวเคลียร์ชุดสุดท้ายออกจากฐานทัพในอังกฤษไปตั้งแต่ปี 2008 สะท้อนให้เห็นว่าภัยคุกคามหลังสงครามเย็นนั้นลดลงอย่างชัดเจนในช่วงเวลานั้น
การกลับมาของขีดความสามารถในการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์จากทางอากาศในครั้งนี้ ยังถูกมองว่าเป็นการปรับสมดุลทางยุทธศาสตร์ให้ใกล้เคียงกับพันธมิตรอย่างฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีระบบนิวเคลียร์แบบครบวงจร ทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ โดยอังกฤษเองมองว่าการมีความหลากหลายด้านการป้องปรามจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความน่าเกรงขามในระดับโลก
นอกจากมิติด้านยุทธศาสตร์ การจัดซื้อเครื่องบิน F-35A ยังถูกมองว่าจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ โดยรัฐบาลระบุว่าดีลนี้จะช่วยสร้างและรักษางานไว้ได้ประมาณ 20,000 ตำแหน่งในอังกฤษ ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังได้ตั้งเป้าเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมและความมั่นคงเป็น 5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศภายในปี 2035 เพื่อตอบสนองเป้าหมายของ NATO อย่างชัดเจน