รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล อิสราเอล แคตซ์ (Israel Katz) ออกมาแถลงล่าสุดว่า ได้สั่งกองทัพอิสราเอล (IDF) เดินหน้าปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายในกรุงเตหะรานอย่างเข้มข้น เพื่อตอบโต้ “การละเมิดข้อตกลงหยุดยิง” ของอิหร่าน หลังจากที่มีการตรวจพบการยิงขีปนาวุธจากฝั่งอิหร่านมายังอิสราเอล
คำสั่งดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่ถึง 3 ชั่วโมง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ว่า “ข้อตกลงหยุดยิงมีผลแล้ว กรุณาอย่าละเมิด!” โดยก่อนหน้านี้อิสราเอลและอิหร่านเพิ่งบรรลุข้อตกลงหยุดยิงร่วมกัน หลังจากปะทะกันต่อเนื่องมานาน 12 วัน นับตั้งแต่อิสราเอลเริ่มเปิดฉากโจมตีเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน
ตามรายงานของกองทัพอิสราเอล ระบุว่า มีการตรวจพบการยิงขีปนาวุธจากอิหร่านในช่วงหลังการประกาศหยุดยิง โดยขณะนี้อิสราเอลกำลังดำเนินการสกัดขีปนาวุธดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ท่ามกลางความวิตกของประชาชนในประเทศที่ยังไม่ทันได้หายใจหายคอจากสถานการณ์ความไม่สงบที่เพิ่งคลี่คลาย
รัฐมนตรีแคตซ์ กล่าวว่า “จากการที่อิหร่านละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดแจ้ง ซึ่งได้ประกาศโดยประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ผ่านการยิงขีปนาวุธมายังอิสราเอล และตามนโยบายของรัฐบาลอิสราเอลที่ต้องตอบโต้ทุกการละเมิดอย่างรุนแรง ผมจึงได้สั่งให้กองทัพอิสราเอลเดินหน้าปฏิบัติการระดับความเข้มข้นสูงต่อเป้าหมายของระบอบการปกครองและโครงสร้างพื้นฐานของการก่อการร้ายในกรุงเตหะราน”
ข้อตกลงหยุดยิงครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากอิสราเอลประกาศว่าสามารถบรรลุเป้าหมายของปฏิบัติการโจมตีอิหร่านแล้ว โดยนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู กล่าวแถลงอย่างเป็นทางการว่า “จากความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายของปฏิบัติการ และจากการประสานงานอย่างเต็มที่กับประธานาธิบดีทรัมป์ อิสราเอลจึงตกลงรับข้อเสนอหยุดยิงร่วมกันจากสหรัฐฯ” พร้อมกล่าวขอบคุณผู้นำสหรัฐฯ ที่ให้การสนับสนุนอย่างมั่นคงในการป้องกันประเทศและการมีส่วนร่วมในการขจัดภัยคุกคามนิวเคลียร์จากอิหร่าน
ด้านรัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่าน อับบาส อารัคชี (Abbas Araqchi) ก็ได้ให้คำมั่นว่าทางอิหร่านจะยุติปฏิบัติการตอบโต้ หากอิสราเอลหยุดการโจมตี ณ เวลา 4:00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของกรุงเตหะราน ทว่าจากเหตุการณ์ดังกล่าวคล้ายว่าข้อตกลงที่เพิ่งเริ่มต้นจะถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเกิดการยิงขีปนาวุธในเวลาต่อมา
การปะทะกันระหว่างสองชาตินี้กลายเป็นเรื่องที่โลกจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อเสถียรภาพในตะวันออกกลางเท่านั้น แต่ยังอาจลุกลามเป็นความขัดแย้งระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศอีกด้วย โดยเฉพาะเมื่อมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ มีบทบาทเป็นผู้ไกล่เกลี่ยในครั้งนี้อย่างชัดเจน
แม้จะยังไม่มีรายงานความเสียหายหรือผู้บาดเจ็บจากการยิงขีปนาวุธครั้งล่าสุด แต่อิสราเอลก็แสดงท่าทีแน่วแน่ที่จะไม่ปล่อยให้การละเมิดครั้งนี้ผ่านไปโดยไม่มีการตอบโต้ ซึ่งอาจส่งผลให้สถานการณ์เข้าสู่ภาวะตึงเครียดอีกครั้ง และยากต่อการควบคุมในอนาคตอันใกล้
อ้างอิง: Reuters, The Guardian, Timesofisrael