บังเกอร์บัสเตอร์ GBU-57 คือระเบิดอะไร? ทำไมสหรัฐถึงใช้ถล่มโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน?

22 มิ.ย. 2568 | 02:21 น.
อัปเดตล่าสุด :22 มิ.ย. 2568 | 02:35 น.

รู้จัก GBU-57 ระเบิดบังเกอร์บัสเตอร์ขนาดยักษ์ ที่ถูกใช้ครั้งแรกกับโรงงานนิวเคลียร์อิหร่านตามคำสั่งทรัมป์ เผยเบื้องหลังเทคโนโลยีล้ำยุค พลังทำลายล้างมหาศาล และต้นทุนที่สะเทือนโลก

หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่ากองกำลังสหรัฐฯ โจมตีสถานีนิวเคลียร์อิหร่าน 3 แห่งสำเร็จ โดยเฉพาะการทำลายสถานีฟอร์โดว์ ด้วยระเบิด "เต็มพิกัด" นำความสนใจมาสู่เทคโนโลยีอาวุธล้ำสมัยระเบิด "บังเกอร์บัสเตอร์" (Bunker-Buster) ที่ถูกนำมาใช้ในสนามรบจริงครั้งแรก

 

อาวุธเฉพาะทาง มูลค่าหลายพันล้าน

 

ระเบิด GBU-57 A/B Massive Ordnance Penetrator หรือที่เรียกว่า "บังเกอร์บัสเตอร์" เป็นอาวุธที่พัฒนาโดยบริษัท Boeing ภายใต้การกำกับของกองทัพอากาศสหรัฐฯ มูลค่าการผลิตประมาณ 3.5 ล้านเหรียญต่อลูก หรือราว 122 ล้านบาท

 

ระเบิดลูกนี้มีน้ำหนัก 30,000 ปอนด์ (13.6 ตัน) ยาว 20.5 ฟุต เส้นผ่านศูนย์กลาง 31.5 นิ้ว ออกแบบเพื่อเจาะลึกลงไปใต้พื้นผิวได้ถึง 200 ฟุต (61 เมตร) ก่อนระเบิด ทำให้สามารถทำลายเป้าหมายที่ฝังลึกใต้ดินหรือในภูเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อจำกัดการใช้งาน เฉพาะเครื่องบิน B-2 Spirit เท่านั้น

 

สิ่งที่ทำให้ระเบิดชนิดนี้มีราคาแพงและซับซ้อนคือ เฉพาะเครื่องบิน B-2 Spirit เท่านั้นที่สามารถบรรทุกและปล่อยได้ เครื่องบินลำนี้มีมูลค่าประมาณ 2 พันล้านเหรียญต่อลำ (ราว 70,000 ล้านบาท) ผลิตโดย Northrop Grumman ซึ่งสหรัฐฯ มีเพียง 19 ลำในสต็อกปัจจุบัน

 

การใช้ B-2 ในภารกิจนี้แสดงถึงความจริงจังของสหรัฐฯ เนื่องจากเป็นเครื่องบินที่มีต้นทุนการดูแลรักษาสูงมาก ตามข้อมูลกองทัพอากาศ B-2 ต้องการการบำรุงรักษา 119 ชั่วโมงต่อการบินหนึ่งชั่วโมง เทียบกับ B-1 และ B-52 ที่ต้องการเพียง 60 และ 53 ชั่วโมงตามลำดับ

 

ประวัติการพัฒนา: จากภัยคุกคามสู่ความจริง

 

โครงการ GBU-57 เริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 2000 หลังจากที่สหรัฐฯ ประเมินว่าอาวุธเจาะบังเกอร์ที่มีอยู่ เช่น GBU-28 หนัก 5,000 ปอนด์ ไม่เพียงพอต่อการทำลายสิ่งปลูกสร้างใต้ดินที่มีการป้องกันแข็งแกร่งของประเทศอย่างอิหร่านและเกาหลีเหนือ

 

ในเริ่มแรก บริษัท Northrop Grumman และ Lockheed Martin ร่วมพัฒนาอาวุธนี้ในปี 2002 แต่โครงการหยุดชะงักเนื่องจากปัญหางบประมาณและความท้าทายทางเทคนิค จนกระทั่งหลังจากสงครามอิรักในปี 2003 ที่แสดงให้เห็นว่าอาวุธเจาะบังเกอร์ที่มีอยู่ไม่เพียงพอ

 

Boeing ได้รับสัญญาพัฒนาในที่สุด โดยการทดสอบครั้งแรกดำเนินการที่ White Sands Missile Range ในปี 2007 และเริ่มส่งมอบระเบิดรุ่นปฏิบัติการแรกในปี 2011

กลยุทธ์การโจมตีแบบ "เจาะเป็นชั้น"

 

ข้อมูลจากกองทัพอากาศสหรัฐฯ เผยว่า B-2 สามารถบรรทุก GBU-57 ได้ 2 ลูกต่อเที่ยวบิน เทคนิคการโจมตีแบบ "เจาะเป็นชั้น" คือการปล่อยระเบิดลูกแรกเพื่อเจาะผ่านชั้นป้องกันบนสุด ตามด้วยลูกที่สองเพื่อทำลายเป้าหมายที่ลึกลงไป

 

ในการโจมตีสถานี Fordow ครั้งนี้ สหรัฐฯ ใช้ระเบิด GBU-57A รวม 6 ลูก ซึ่งเป็นการประยุกต์ใช้กลยุทธ์นี้อย่างเต็มรูปแบบ

 

เป้าหมายฟอร์โดว์ความท้าทายใต้ภูเขา

 

สถานีฟอร์โดว์ เป็นโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมแห่งที่สองของอิหร่านรองจากสถานีนาตันซ์ ตั้งอยู่ห่างจากกรุงเตหะรานประมาณ 100 ไมล์ทางใต้ ใกล้เมืองโกม สิ่งที่ทำให้สถานีแห่งนี้เป็นเป้าหมายที่ท้าทายคือการสร้างฝังลึกใต่หินและดินประมาณ 80 เมตร (260 ฟุต) ภายในภูเขา

 

การก่อสร้างเริ่มขึ้นประมาณปี 2006 และเริ่มใช้งานในปี 2009 โดยได้รับการป้องกันด้วยระบบขีปนาวุธพื้นสู่อากาศของอิหร่านและรัสเซีย สถานีนี้ถือเป็น "มงกุฎเพชร" ของโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน เนื่องจากสามารถผลิตยูเรเนียมเสริมสมรรถนะระดับสูงได้ ตามรายงานของ Newsweek ที่ระบุว่าสถานีนี้สามารถผลิตยูเรเนียมเกรดอาวุธสำหรับนิวเคลียร์ 9 ลูกได้ภายใน 3 สัปดาห์

 

GBU-57 เปรียบเทียบกับอาวุธอื่น

 

GBU-57 มีขนาดใหญ่กว่าระเบิดเจาะบังเกอร์รุ่นก่อนอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับ GBU-28 ที่หนัก 5,000 ปอนด์ หรือ GBU-37 ระเบิดรุ่นใหม่นี้หนักมากกว่า 6 เท่า

 

แม้จะมีขนาดใหญ่กว่า MOAB (Mother of All Bombs) ที่หนัก 21,000 ปอนด์ แต่ GBU-57 ออกแบบมาเพื่อการเจาะทะลุ ไม่ใช่การระเบิดแรงกระแทกขนาดใหญ่เหมือน MOAB ที่เป็นระเบิดเทอร์โมบาริก

 

ข้อจำกัดและความท้าทาย

 

แม้จะเป็นอาวุธที่ทรงพลัง แต่ GBU-57 ยังมีข้อจำกัด ไม่มีการรับประกันว่าจะทำลายฟอร์โดว์ได้สำเร็จ 100% เนื่องจากคอนกรีตและโลหะที่ใช้ป้องกันสถานีมีลักษณะที่ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด

 

นอกจากนี้ การวิจัยของอิหร่านได้พัฒนาคอนกรีตที่มีความแข็งแรงเกิน 30,000 psi ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพการเจาะของระเบิดได้อย่างมาก ประกอบกับความท้าทายด้านการนำวิถีในสภาพแวดล้อมที่มีการรบกวนสัญญาณ GPS

 

ต้นทุนสงครามเทคโนโลยีสูง

 

การใช้เทคโนโลยี "บังเกอร์บัสเตอร์" ในภารกิจครั้งนี้เป็นการลงทุนด้านความมั่นคงที่มีมูลค่าสูงมาก การปฏิบัติการครั้งนี้มีต้นทุนรวมหลายร้อยล้านเหรียญ เมื่อคำนวณจากระเบิด 6 ลูกที่ใช้ (มูลค่า 21 ล้านเหรียญ) รวมกับค่าเครื่องบิน การบำรุงรักษา และการสนับสนุนโลจิสติกส์

 

ระเบิดประเภทนี้มีการผลิตจำนวนจำกัด โดยบริษัท Boeing ได้รับสัญญาจัดหา GBU-57 มูลค่า 70 ล้านเหรียญในปี 2019 ขณะที่โครงการพัฒนาทั้งหมดใช้งบประมาณระหว่าง 400-500 ล้านเหรียญ มีการผลิตอย่างน้อย 20 ลูกภายในปี 2015

 

การใช้ GBU-57 เป็นครั้งแรกในสถานการณ์จริงไม่เพียงแต่เป็นการทดสอบประสิทธิภาพของอาวุธ แต่ยังส่งสัญญาณทางการเมืองที่ชัดเจนถึงความสามารถของสหรัฐฯ 

 

การโจมตีครั้งนี้อาจเปลี่ยนแปลงการคำนวณทางยุทธศาสตร์ของประเทศต่างๆ ที่มีโครงการใต้ดินคล้ายคลึงกัน รวมถึงเกาหลีเหนือ จีน และรัสเซีย ซึ่งอาจต้องทบทวนกลยุทธ์การป้องกันของตนเอง

 

ประธานาธิบดีทรัมป์ กำหนดแถลงการณ์ทางโทรทัศน์จากห้องโอวัลออฟฟิศ เพื่อชี้แจงรายละเอียดการโจมตีและทิศทางนโยบายต่อไป ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการกำหนดอนาคตของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในตะวันออกกลางและการแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ในศตวรรษที่ 21

 

แหล่งข้อมูล: CBS News, The National Interest, ABC News, The Defense Post, Wikipedia, Al Jazeera, Newsweek, The Diplomat, Islamic World News, Center for Strategic and International Studies (CSIS)