กัมพูชารับศึกสองด้าน ดึงแรงงานกลับ–เศรษฐกิจยังเปราะบาง

17 มิ.ย. 2568 | 23:35 น.

แม้กัมพูชาตั้งเป้าโต 6.3% ในปี 2025 และประกาศความพร้อมเปิดรับแรงงานที่กลับจากไทยด้วยตำแหน่งงานว่างกว่า 2.3 แสนอัตรา แต่ความท้าทายยังรุมเร้าทั้งในและนอกประเทศ

KEY

POINTS

  • กัมพูชาวางเป้า GDP ปี 2025 ไว้ที่ 6.3% คาดการณ์รายได้เฉลี่ยต่อหัวเพิ่มขึ้น แม้เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และประเทศกำลังเผชิญแรงกดดันจากการเปลี่ยนผ่านจากสถานะประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDC)
  • กระทรวงแรงงานกัมพูชาเผยมีตำแหน่งงานว่าง 230,000 อัตรา และเตรียมศูนย์จัดหางาน-หลักสูตรฝึกอบรมรองรับแรงงานที่เดินทางกลับจากไทย แต่ยังมีข้อกังวลเรื่องทักษะไม่ตรงอุตสาหกรรมใหม่ และผลิตภาพแรงงานต่ำ
  • กัมพูชายังเผชิญความเปราะบางจากสิทธิการค้าพิเศษที่กำลังหมดลง ระบบการศึกษาและราชการที่ต้องเร่งปรับตัว รวมถึงการพึ่งพาแรงงานนอกระบบจำนวนมากที่อาจกระทบความสามารถแข่งขันในอนาคต

กัมพูชา มีเป้าหมายเติบโตถึง 6.3% ในปีประมาณ 2025 ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ซึ่งถือเป็นปีที่สองของการบริหารประเทศเต็มรูปแบบ ฮุน มาเนต ประกาศผ่านสารในโอกาสวันแห่งการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมระดับชาติครั้งที่ 8 เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ว่า เศรษฐกิจกัมพูชากำลังเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่า GDP จะเพิ่มเป็น 5.139 หมื่นล้านดอลลาร์  และรายได้เฉลี่ยต่อหัวจะเพิ่มเป็น 2,924 ดอลลาร์ จาก 2,713 ดอลลาร์ในปี 2024  ซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน ท่ามกลางบริบทโลกที่ไม่แน่นอน

ผู้นำกัมพูชาย้ำว่า ประเทศกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ และต้องฉวยโอกาสนี้ในการพัฒนาอุตสาหกรรม กระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจ และเพิ่มการบูรณาการในระดับภูมิภาคและโลก โดยมีสันติภาพระยะยาวและเสถียรภาพทางการเมืองเป็นรากฐานสำคัญต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

กัมพูชากำลังยืนอยู่ที่จุดเปลี่ยน เราต้องคว้าโอกาสทองนี้ไว้ในการเดินหน้าสู่การเป็นอุตสาหกรรม เพิ่มความหลากหลายทางเศรษฐกิจ และเสริมสร้างการเชื่อมโยงเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคและโลก

เซือน แซม (Seun Sam) นักวิเคราะห์นโยบายแห่งราชบัณฑิตยสถานกัมพูชา กล่าวชื่นชมรัฐบาลกัมพูชาในการรักษาโมเมนตัมทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งไว้ได้ แต่เตือนว่าการรักษาการเติบโตระดับ  6.3 % ในปี 2025 จำเป็นต้องมีการวางแผนเชิงกลยุทธ์และความสามารถในการปรับตัวท่ามกลางความไม่แน่นอนทั้งในระดับโลกและภูมิภาค 

Khmer Times รายงานว่า เขาระบุถึงกัมพูชาว่า เเม้จะมีความคืบหน้าอย่างเห็นได้ชัดในการฟื้นตัวจากโควิด-19 และขยายฐานเศรษฐกิจ แต่ก็ยังมีปัจจัยภายนอกและระดับภูมิภาคหลายด้านที่อาจเป็นอุปสรรคต่อเส้นทางการเติบโตของประเทศ

เซือน แซม (Seun Sam) นักวิเคราะห์นโยบายแห่งราชบัณฑิตยสถานกัมพูชา กล่าวชื่นชมรัฐบาลกัมพูชาในการรักษาโมเมนตัมทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งไว้ได้ แต่เตือนว่าการรักษาการเติบโตระดับ ร้อยละ 6.3 ในปี 2025 จำเป็นต้องมีการวางแผนเชิงกลยุทธ์และความสามารถในการปรับตัวท่ามกลางความไม่แน่นอนทั้งในระดับโลกและภูมิภาค

ให้สัมภาษณ์กับ Khmer Times เขาระบุว่า แม้กัมพูชาจะมีความคืบหน้าอย่างเห็นได้ชัดในการฟื้นตัวจากโควิด-19 และขยายฐานเศรษฐกิจ แต่ก็ยังมีปัจจัยภายนอกและระดับภูมิภาคหลายด้านที่อาจเป็นอุปสรรคต่อเส้นทางการเติบโตของประเทศ

ในมุมมองของผม การรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ ร้อยละ 6.3 ในปี 2025 นั้นไม่ง่าย เพราะเรากำลังเผชิญกับปัจจัยภายนอกหลายประการ เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่ยืดเยื้อ และล่าสุด ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก นอกจากนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็ยังไม่เสถียร ปัจจัยทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและอุปสงค์ทั่วโลก

เขายังระบุว่า กัมพูชาอาจเผชิญกับอุปสรรคในความสัมพันธ์กับประเทศไทย ซึ่งเป็นคู่ค้ารายสำคัญ และเป็นผู้ซื้อสินค้าเกษตรรายใหญ่ของกัมพูชา

การค้าระหว่างกัมพูชากับไทยมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของเรา แต่การแข่งขันในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้นและความตึงเครียดทางการเมือง อาจก่อให้เกิดอุปสรรคใหม่ ๆ

อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่า การเติบโตระดับ 6.3% ยังสามารถบรรลุได้ หากกัมพูชามุ่งเสริมสร้างการผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะการแปรรูปสินค้าเกษตรภายในประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่า สร้างงาน และลดความสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยว เเละยังเรียกร้องให้รัฐบาลจัดทำการประเมินความต้องการอาหารในระดับท้องถิ่นอย่างละเอียด เช่น ผัก ปลา และเนื้อสัตว์ในแต่ละตำบลหรือจังหวัด เพื่อช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้า และสร้างการจ้างงานในประเทศ

เศรษฐกิจกัมพูชาแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่น ท่ามกลางความไม่แน่นอนทั่วโลก โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งออกที่แข็งแกร่ง และการฟื้นตัวบางส่วนของการบริโภคภาคเอกชน ตามรายงานล่าสุดของธนาคารโลก “Cambodia Country Economic Update”

รายงานคาดการณ์ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจจะชะลอลงเหลือ 4.0 % ในปี 2025 และ 4.5 % ในปี 2026 เนื่องจากต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งภายนอกและภายในประเทศ เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน พลวัตทางการค้า ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซาต่อเนื่อง และเงื่อนไขสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น

การกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งหากกัมพูชาต้องการรักษาการเติบโตและการจ้างงาน ด้วยการก้าวข้ามการพึ่งพาการก่อสร้างและการส่งออกเสื้อผ้า และหันไปส่งเสริมการผลิตและบริการที่มีมูลค่าสูง กัมพูชาจะสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนที่ยังคงดำเนินอยู่ได้ดีขึ้น

ในไตรมาสแรกของปีนี้ การส่งออกของกัมพูชาเพิ่มขึ้น 11.6 % เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว นำโดยเสื้อผ้า รองเท้า สินค้าเดินทาง และจักรยาน นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศเพิ่มขึ้น 16.1% แต่ยังไม่กลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิด

ขณะเดียวกัน การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น อาหาร ยานพาหนะ และเสื้อผ้า เพิ่มขึ้น สะท้อนถึงการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของการใช้จ่ายในครัวเรือน

ด้านต่างประเทศ การส่งเงินกลับประเทศของแรงงานและรายได้จากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ช่วยชดเชยการขาดดุลการค้าที่ขยายตัว เงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ที่ 2.47 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปริมาณเงินโดยรวมเพิ่มขึ้น 19.0 % เมื่อเทียบรายปี แสดงให้เห็นถึงภาวะการเงินที่สนับสนุนเศรษฐกิจ

อัตราเงินเฟ้อขยับขึ้นเป็น 3.7 % ส่วนหนึ่งเนื่องจากราคาอาหารที่สูงขึ้น ขณะที่ภาคธนาคารเผชิญกับปัญหา หนี้เสีย (NPLs) ที่เพิ่มสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม การเติบโตที่รวดเร็วของเศรษฐกิจเกิดขึ้นท่ามกลางบริบทของเสรีภาพทางการเมืองและสิทธิมนุษยชนที่ถูกจำกัด รายงานของกลุ่มสิทธิมนุษยชนระบุว่า ปี 2024 มีนักเคลื่อนไหว สื่อมวลชน และฝ่ายค้านหลายรายถูกดำเนินคดี ขณะที่พรรค CPP ของฮุน มาเนต พยายามสร้างความชอบธรรมผ่านผลงานด้านเศรษฐกิจและการบริหารที่มีประสิทธิภาพ

การเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจของกัมพูชาเริ่มเห็นผลชัดเจน โดยค่อย ๆ กระจายออกจากอุตสาหกรรมสิ่งทอที่เคยเป็นรายได้หลัก ไปสู่ภาคการผลิตอื่น ๆ และบริการ เช่น การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวหลังโควิด โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเกิน 6 ล้านคนในปีนี้

ขณะเดียวกัน การที่กัมพูชากำลังจะพ้นจากสถานะประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDC) ภายในปี 2029 ตามมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ จะทำให้ประเทศสูญเสียสิทธิพิเศษทางการค้าและการเงินแบบผ่อนปรน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน ส่งออก และตำแหน่งงาน

แบบจำลองของ UNDP ประเมินว่า หากไม่สามารถปรับตัวได้ทัน การส่งออกอาจลดลง 2.4% ในปี 2030 GDP จะหดตัว 2% และอาจสูญเสียงานกว่า 168,000 ตำแหน่ง สถานการณ์เช่นนี้ทำให้รัฐบาลกัมพูชาต้องเร่งพัฒนาขีดความสามารถของแรงงานในประเทศเพื่อรองรับแรงงานที่อาจไหลกลับจากต่างประเทศ เช่น ไทย

ล่าสุด นายเฮง ซัวร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและฝึกอบรมอาชีวศึกษาของกัมพูชา เปิดเผยว่า กัมพูชาพร้อมอ้าแขนรับแรงงานที่ต้องการเดินทางกลับจากประเทศไทย โดยระบุว่ามีตำแหน่งงานว่างมากกว่า 230,000 อัตราทั่วประเทศ และได้จัดตั้งศูนย์จัดหางานเคลื่อนที่บริเวณชายแดนเพื่อขึ้นทะเบียนแรงงานกลับถิ่น พร้อมจัดเตรียมหลักสูตรฝึกอบรมด้านเทคนิคและอาชีวศึกษาเพื่อให้แรงงานเหล่านี้กลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ทันที

แม้จะมีความพยายามรองรับแรงงานกลับอย่างชัดเจน แต่รายงานของธนาคารโลกและนักวิเคราะห์จากราชบัณฑิตยสถานกัมพูชายังเตือนว่า แรงงานส่วนใหญ่ยังขาดทักษะที่เหมาะสมต่ออุตสาหกรรมยุคใหม่ ความท้าทายอยู่ที่การเพิ่มผลิตภาพ การแปรรูปสินค้าเกษตรในประเทศ และการลดการพึ่งพาแรงงานนอกระบบ

ขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชาในมิติแรงงานยังมีความสำคัญสูง ทั้งในแง่ที่ไทยเป็นแหล่งจ้างงานหลักของแรงงานกัมพูชาหลายแสนคน และในฐานะตลาดส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญ หากการดึงแรงงานกลับประเทศไม่สามารถบริหารจัดการได้ดีพอ อาจส่งผลกระทบทั้งต่อเศรษฐกิจในประเทศและต่อความสัมพันธ์กับไทย

เศรษฐกิจที่เติบโตแต่สังคมที่ยังเปราะบาง ทำให้การปฏิรูปเชิงสถาบันกลายเป็นประเด็นสำคัญ พรรค CPP อาจถือโอกาสจากการที่ฝ่ายค้านอ่อนแอ เร่งปรับระบบราชการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืนและการแข่งขันในยุคใหม่