ในห้วงเวลาที่ตะวันออกกลางกำลังเข้าสู่จุดเดือดครั้งใหม่ ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่านกลับมาเป็นที่จับตาของทั่วโลก เมื่อคณะกรรมการของสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) มีมติระบุว่าอิหร่านละเมิดพันธกรณีการไม่เพิ่มกำลังผลิตอาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี พร้อมเสียงสนับสนุนจาก 19 ประเทศ จากทั้งหมด 35 ประเทศที่เป็นสมาชิกคณะกรรมการ โดยมีสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และเยอรมนีเป็นผู้เสนอญัตติ
IAEA ระบุว่าอิหร่านล้มเหลวในการให้ข้อมูลอย่างครบถ้วนเกี่ยวกับกิจกรรมนิวเคลียร์ที่ไม่เปิดเผย ขณะที่คลังยูเรเนียมเสริมสมรรถนะของอิหร่านก็อยู่ในระดับที่สามารถนำไปผลิตอาวุธได้ สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดขึ้น เมื่ออิหร่านประกาศเปิดโรงงานเสริมสมรรถนะแห่งใหม่ และยืนกรานว่าทุกกิจกรรมนั้นเพื่อสันติ ไม่มีเจตนาครอบครองอาวุธนิวเคลียร์
ในมุมของอิสราเอล นี่คือภัยคุกคามโดยตรงต่อการดำรงอยู่ของประเทศ นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ได้แสดงจุดยืนชัดว่าควรใช้วิธีการทางทหารมากกว่าการทูตเพื่อจัดการปัญหา และเมื่ออิหร่านเปิดฉากยิงขีปนาวุธและโดรนถล่มอิสราเอลเมื่อเดือนเมษายนปีก่อน อิสราเอลก็ตอบโต้ด้วยการโจมตีทั่วประเทศอิหร่านทันที โดยเล็งเป้าไปยัง “หัวใจ” ของโครงการนิวเคลียร์
รายงานของสถาบันนานาชาติเพื่อการศึกษายุทธศาสตร์ (IISS) ระบุว่า อิสราเอลมีงบประมาณด้านกลาโหมสูงกว่าอิหร่านมากกว่าเท่าตัว ราว 19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับอิหร่านที่ใช้เพียง 7,400 ล้านดอลลาร์ในปี 2022 และ 2023 แม้อิหร่านจะมีขนาดประชากรและกำลังพลประจำการมากกว่า (ราว 600,000 นาย เทียบกับ 170,000 นายของอิสราเอล) แต่ในแง่เทคโนโลยีและคุณภาพของอาวุธ อิสราเอลกลับถือไพ่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ฝูงบินรบของอิสราเอลมีประมาณ 340 ลำ ซึ่งรวมถึงเครื่องบิน F-15 และ F-35 ที่ทันสมัยและสามารถหลบเรดาร์ได้ ขณะที่อิหร่านมีเครื่องบินรบราว 320 ลำ แต่หลายลำเป็นรุ่นเก่าจากยุค 60s เช่น F-4, F-5 และ F-14 ซึ่งแม้จะเคยปรากฏในภาพยนตร์ดังอย่าง Top Gun แต่ในความเป็นจริง อะไหล่และการซ่อมบำรุงกลับเป็นเรื่องยากยิ่ง
ระบบป้องกันไอเอิร์นโดม (Iron Dome) และแอร์โรว์ (Arrow) ของอิสราเอลก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นปราการเหล็กที่ปกป้องประเทศจากการโจมตีทางอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อเผชิญหน้ากับขีปนาวุธและโดรนจากอิหร่านในปีที่ผ่านมา อูซี รูบิน ผู้บุกเบิกระบบป้องกันมิสไซล์อิสราเอล ยืนยันว่าระบบเหล่านี้ “ได้ผลอย่างยิ่ง” ในการสกัดกั้นการโจมตี
แม้อิหร่านจะมีคลังขีปนาวุธมากที่สุดในตะวันออกกลาง (กว่า 3,000 ลูก ตามคำกล่าวของอดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ) และมีศักยภาพด้านการผลิตโดรนที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะโดรน “ชาเฮด” ที่ส่งขายให้รัสเซีย แต่ความทันสมัยของเทคโนโลยีโดยรวมยังถือว่าเป็นรองอิสราเอลอยู่พอสมควร
ด้านสงครามไซเบอร์ อิสราเอลถือว่าเปราะบางกว่า แม้จะมีระบบป้องกันที่แข็งแกร่ง แต่เมื่อเกิดการโจมตีทางไซเบอร์กว่า 3,380 ครั้งในช่วงไม่กี่เดือนของปี 2023-2024 ระบบโครงสร้างพื้นฐานก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย ขณะที่อิหร่านเองก็ประสบกับเหตุการณ์คล้ายกัน โดยเฉพาะการโจมตีที่ทำให้สถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศต้องหยุดชะงัก
ในด้านกองทัพเรือ อิหร่านมีเรือราว 220 ลำ ส่วนอิสราเอลมีประมาณ 60 ลำ แต่จำนวนไม่ใช่ปัจจัยตัดสินทุกอย่าง เนื่องจากคุณภาพของเรือและเทคโนโลยีที่ติดตั้งก็มีผลต่อสมรรถนะเช่นกัน
เมื่อพูดถึง “ภัยคุกคามนิวเคลียร์” อิสราเอลยังคงดำเนินนโยบาย “ไม่ยืนยันไม่ปฏิเสธ” ว่ามีอาวุธนิวเคลียร์หรือไม่ ขณะที่อิหร่านแม้จะปฏิเสธการพัฒนาอาวุธดังกล่าว แต่ก็มีคลังยูเรเนียมเสริมสมรรถนะในระดับที่สามารถนำไปสร้างอาวุธได้ในเวลาอันสั้น หากมีการตัดสินใจ
แม้ทั้งสองประเทศจะยังไม่เข้าสู่ภาวะสงครามอย่างเป็นทางการ แต่อิหร่านและอิสราเอลต่างใช้ “สงครามตัวแทน” (proxy war) ผ่านกลุ่มต่าง ๆ เช่น ฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน ฮามาสในฉนวนกาซา และฮูตีในเยเมน โดยอิสราเอลเชื่อว่าอิหร่านเป็นผู้จัดหาอาวุธและฝึกอบรมให้กลุ่มเหล่านี้ และเป็นเหตุผลหนึ่งที่อิสราเอลโจมตีเป้าหมายในซีเรียและเลบานอนบ่อยครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ขณะที่ภายในอิสราเอลเอง ก็มีแรงกดดันทางการเมืองต่อรัฐบาล โดยเฉพาะจากกลุ่มสายเหยี่ยวในรัฐสภาที่ต้องการตอบโต้ด้วยกำลัง แม้โพลสำรวจล่าสุดในปี 2024 จากมหาวิทยาลัยฮีบรูวจะพบว่า ประชาชนเกือบ 75% ต่อต้านการโจมตีตอบโต้อิหร่าน หากการกระทำนั้นเสี่ยงทำลายความร่วมมือกับพันธมิตร
แม้ขนาดประเทศ ประชากร และจำนวนทหารของอิหร่านจะเหนือกว่าอย่างชัดเจน แต่อิสราเอลกลับมีเทคโนโลยี ประสิทธิภาพ และการสนับสนุนจากพันธมิตรตะวันตกที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สมรภูมิแห่งอิทธิพลในตะวันออกกลางยังไม่มีคำตอบชัดว่าใครจะเป็นฝ่ายเหนือกว่า