สหรัฐฯ-จีน ถกเข้มการค้า-แร่หายากวันที่ 2 ทรัมป์ชี้เจรจายังมีหวัง

10 มิ.ย. 2568 | 05:49 น.
อัปเดตล่าสุด :10 มิ.ย. 2568 | 05:49 น.

การเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีนที่ลอนดอนยืดวันสอง ทรัมป์เผย “ได้รายงานดี” ขณะประเด็นแร่หายาก-ภาษียังร้อนแรง นักลงทุนทั่วเอเชียจับตาแนวโน้มตลาด

การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งมีเดิมพันสูงทั้งในด้านเศรษฐกิจ การส่งออก และความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานโลก ยืดเยื้อเข้าสู่วันที่สองในกรุงลอนดอนวันนี้ (10 มิ.ย. 2568) หลังจากการพูดคุยตลอดทั้งวันที่ผ่านมาไม่สามารถหาข้อสรุปได้ โดยทั้งสองฝ่ายยังมีข้อขัดแย้งสำคัญ โดยเฉพาะประเด็นการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งถือเป็นวัตถุดิบหลักของเทคโนโลยีสมัยใหม่

การเจรจาจัดขึ้นที่ Lancaster House ซึ่งเป็นคฤหาสน์ของรัฐบาลอังกฤษ โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากทั้งสองประเทศเข้าร่วมเต็มคณะ ฝ่ายสหรัฐฯ นำโดย รัฐมนตรีคลังสก็อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีพาณิชย์โฮเวิร์ด ลัทนิค และผู้แทนการค้าเจมิสัน เกรียร์ ส่วนฝ่ายจีนมีรองนายกรัฐมนตรีเหอ หลี่เฟิง เป็นหัวหน้าคณะ พร้อมด้วยรัฐมนตรีพาณิชย์หวัง เหวินเทา และหัวหน้าคณะเจรจาการค้าหลี่ เฉิงกัง

ประเด็นแร่หายากกลายเป็นจุดศูนย์กลางของการเจรจาครั้งนี้ เนื่องจากจีนถือครองส่วนแบ่งตลาดแม่เหล็กแร่หายากเกือบผูกขาด และการระงับการส่งออกในเดือนเมษายนที่ผ่านมาทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า บริษัทเทคโนโลยี และผู้รับเหมาด้านการทหารทั่วโลกได้รับผลกระทบหนัก รัฐมนตรีพาณิชย์ลัทนิคของสหรัฐฯ ซึ่งรับผิดชอบดูแลเรื่องมาตรการควบคุมการส่งออก ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมการเจรจาโดยเฉพาะในประเด็นนี้ ซึ่งบ่งชี้ว่ารัฐบาลทรัมป์กำลังให้ความสำคัญกับแร่หายากอย่างยิ่ง

แม้การเจรจายังไม่จบลงด้วยข้อตกลง แต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวในวันจันทร์ว่าการหารือกำลังไปได้สวย พร้อมย้ำว่าเขา "ได้รับแต่รายงานดีๆ" จากทีมเจรจาในลอนดอน อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดใดๆ ว่ามีการตกลงเรื่องใดเป็นรูปธรรมบ้าง และเมื่อถูกถามเกี่ยวกับการยกเลิกการควบคุมการส่งออก ทรัมป์ตอบเพียงสั้นๆ ว่า "เดี๋ยวเราจะได้รู้กัน"

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เพิ่งมีการพูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขากลับเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม การสนทนาดังกล่าวถูกสื่อจีนรายงานว่าผู้นำจีนได้เตือนทรัมป์ไม่ให้ดำเนินมาตรการทางการค้ารุนแรงเกินไป และหลีกเลี่ยงการยั่วยุเกี่ยวกับไต้หวัน อย่างไรก็ตาม ทรัมป์กลับระบุว่าเป็นการพูดคุยที่ "มีข้อสรุปเชิงบวกมาก" พร้อมเปิดเผยว่าจีนตกลงจะกลับมาส่งออกแร่หายากให้กับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของสหรัฐฯ บางราย ซึ่งข้อมูลนี้สอดคล้องกับรายงานของ Reuters ที่ระบุว่าจีนได้อนุมัติใบอนุญาตส่งออกชั่วคราวให้แก่ซัพพลายเออร์รายสำคัญแล้ว

ด้านที่ปรึกษาเศรษฐกิจทำเนียบขาว เควิน แฮสเซ็ตต์ ให้สัมภาษณ์ว่าเป้าหมายของสหรัฐฯ คือ "การจับมือกัน" กับจีนในประเด็นแร่หายาก และคาดว่าหลังการเจรจาจะมีการส่งออกอย่างเป็นรูปธรรมทันที อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญมองว่าสหรัฐฯ อาจพร้อมพิจารณาผ่อนคลายมาตรการควบคุมการส่งออกบางส่วน แต่จะไม่ยกเลิกข้อจำกัดสำคัญ เช่น ด้านซอฟต์แวร์ออกแบบเซมิคอนดักเตอร์หรืออุปกรณ์การบินที่เพิ่งถูกระงับในเดือนพฤษภาคม

ขณะเดียวกัน การเจรจาเกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจของทั้งสองประเทศเริ่มสะดุดจากผลกระทบของมาตรการภาษีชุดใหญ่ที่ทรัมป์ประกาศใช้หลังกลับสู่ตำแหน่ง โดยข้อมูลศุลกากรจีนชี้ว่า การส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลงถึง 34.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าในเดือนพฤษภาคม นับเป็นการหดตัวที่รุนแรงที่สุดตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ขณะที่ฝั่งสหรัฐฯ ก็เริ่มเห็นผลกระทบจากความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจเช่นกัน ทั้งในด้านความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจ รวมถึงตัวเลขจีดีพีไตรมาสแรกที่ติดลบจากการเร่งนำเข้าสินค้าก่อนที่ราคาจะปรับขึ้น

แม้แรงกดดันทางเศรษฐกิจจะมีมากขึ้น แต่ตลาดหุ้นทั่วเอเชียกลับตอบรับเชิงบวก โดยเช้าวันนี้ดัชนีหลักในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และจีนล้วนปิดบวก นักลงทุนต่างจับตาความคืบหน้าของการเจรจาอย่างใกล้ชิด ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Principal Asset Management แนะนำให้นักลงทุนเตรียมรับมือกับความผันผวนของนโยบายการค้า และมองหาหุ้นในกลุ่มที่พึ่งพาเศรษฐกิจภายในประเทศมากกว่า เช่น สาธารณูปโภค อสังหาริมทรัพย์ และการเงิน

อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิรัฐศาสตร์อย่างเอียน เบรมเมอร์ จาก Eurasia Group เตือนว่า แม้จะมีการหยุดยิงชั่วคราว แต่แนวโน้มระยะยาวของความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ยังคงเป็นลบจากกระแสการแยกห่วงโซ่อุปทาน (decoupling) และแรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่ต้องการให้ประเทศอื่นลดการพึ่งพาจีน

ในขณะที่ศาลอุทธรณ์ของสหรัฐฯ กำลังพิจารณาข้อโต้แย้งของรัฐบาลทรัมป์เกี่ยวกับความชอบธรรมของการเก็บภาษีสินค้าจีน ซึ่งหากยืดเยื้อต่อไปก็อาจส่งผลถึงศาลสูง ข้อพิพาททางการค้าครั้งนี้จึงไม่ได้จำกัดเพียงแค่ห้องเจรจาในลอนดอน แต่ขยายไปถึงกระบวนการยุติธรรมและยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของทั้งสองมหาอำนาจด้วย