เปิดแฟ้มสหรัฐฯ ส่งทหาร–ประชาชนลุกฮือ ความขัดแย้งที่ไม่เคยจบ

10 มิ.ย. 2568 | 23:30 น.

สหรัฐ เคยใช้กำลังทหารเข้าควบคุมสถานการณ์ประท้วงหลายครั้งในประวัติศาสตร์ ทั้งในบริบทของสิทธิพลเมือง ความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติ และนโยบายของรัฐบาลกลาง

KEY

POINTS

  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งระดมกำลัง National Guard ราว 1,000 นาย โดยไม่ขออนุญาตจากผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งปกติถือเป็นธรรมเนียมที่ต้องทำ
  • ไม่ใช่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่รัฐบาลใช้ทหารปราบม็อบ
  • เหตุการณ์ล่าสุดในลอสแอนเจลิสจุดกระแสถกเถียงรอบใหม่ นักวิชาการและนักประวัติศาสตร์เตือน ไม่มีภัยคุกคามรุนแรงที่สมเหตุสมผลพอให้ระดมกำลังทหารขนาดนี้

การส่งกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไปยังลอสแอนเจลิส เพื่อหยุดยั้งการประท้วงต่อต้านการปราบปรามผู้อพยพ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่ที่มาจากการเลือกตั้งของสหรัฐฯ สั่งระดมทหารเพื่อสกัดความไม่สงบที่เกี่ยวข้องกับสิทธิพลเมือง

โดยปกติแล้ว กองกำลังพิทักษ์แห่งชาติ มักถูกระดมเพื่อรับมือกับเหตุฉุกเฉินและภัยธรรมชาติต่าง ๆ ด้วยความยินยอมจากผู้ว่าการรัฐที่เกี่ยวข้อง ทรัมป์ ซึ่งเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน ได้ส่งทหารพิทักษ์แห่งชาติราว 1,000 นาย จากรัฐแคลิฟอร์เนียไปยังลอสแอนเจลิส แม้จะถูกคัดค้านโดย ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย แกวิน นิวซัม และ นายกเทศมนตรีนครลอสแอนเจลิส คาเรน แบส ซึ่งทั้งสองเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครต

การเผชิญหน้ากันเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เมื่อผู้ประท้วงหลายสิบคนมารวมตัวกันที่หน้าเรือนจำของรัฐบาลกลาง เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ถูกจับกุมกว่า 40 คนโดยหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองของรัฐบาลกลางทั่วทั้งลอสแอนเจลิส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญเนรเทศครั้งใหญ่ของทรัมป์

การระดมกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติในอดีต

บางครั้งสามารถฟื้นคืนความสงบหลังจากการปราบปรามที่รุนแรงจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นหรือความรุนแรงจากกลุ่มอาสาสมัคร แต่บางครั้งกลับทำให้สถานการณ์ในชุมชนตึงเครียดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้ประท้วงเพื่อสิทธิพลเมืองหรือความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ

บางโอกาสที่พบไม่บ่อย ประธานาธิบดีได้อ้างใช้กฎหมายยุคศตวรรษที่ 18 ที่เรียกว่า Insurrection Act ซึ่งเป็นกลไกทางกฎหมายหลักที่ประธานาธิบดีสามารถใช้เพื่อระดมกำลังทหารหรือกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติในช่วงเวลาที่เกิดการก่อจลาจลหรือความไม่สงบ ในบางครั้งเลือกใช้อีกกฎหมายหนึ่งที่ใกล้เคียงกันซึ่งให้อำนาจประธานาธิบดีในการเปลี่ยนสถานะกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติเป็นของรัฐบาลกลางภายใต้เงื่อนไขบางประการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรัมป์ทำเมื่อวันเสาร์

ต่อไปนี้คือภาพรวมของการระดมกำลังที่โดดเด่นในอดีตบางกรณี

การประท้วงกรณี จอร์จ ฟลอยด์ ในลอสแอนเจลิส ปี 2020

เกือบ 5 ปีก่อน ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย แกวิน นิวซัม ได้ส่งกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติประมาณ 8,000 นาย เพื่อควบคุมการประท้วงเกี่ยวกับความอยุติธรรมทางเชื้อชาติที่เกิดขึ้นหลังการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ในรัฐมินนิโซตา มากกว่าครึ่งหนึ่งของกำลังที่ส่งไปในรัฐแคลิฟอร์เนียถูกส่งไปยังเขตลอสแอนเจลิส ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมผู้ประท้วงมากกว่า 3,000 คน เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในขณะนั้น รวมถึงนายกเทศมนตรีเมืองลอสแอนเจลิส เอริก การ์เซ็ตติ สนับสนุนการตัดสินใจของนิวซัม

เอลิซาเบธ ฮินตัน นักประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเยล ซึ่งเขียนหนังสือเกี่ยวกับการลุกฮือตามเชื้อชาติและความรุนแรงของตำรวจ กล่าวว่า การประท้วงในปี 2020 ถูกจัดประเภทว่าเป็นความรุนแรง แต่โดยส่วนใหญ่ไม่เป็นเช่นนั้น และยิ่งเป็นจริงมากขึ้นในวันนี้ 

ไม่มีภัยคุกคามใดที่ใกล้จะเกิดขึ้นซึ่งจะต้องใช้การระดมกำลังทหารในขนาดใหญ่เช่นนี้

การประท้วงกรณีร็อดนีย์ คิง ปี 1992

บางคนเปรียบเทียบการตัดสินใจของทรัมป์กับการที่ ประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช ใช้กฎหมาย Insurrection Act เพื่อรับมือกับการจลาจลในลอสแอนเจลิสในปี 1992 หลังคำตัดสินยกฟ้องตำรวจผิวขาวที่ถูกบันทึกวิดีโอว่าทำร้ายร่างกาย ร็อดนีย์ คิง ชายผิวดำ ภายในเวลาเพียงหกวัน การประท้วงกลายเป็นการจลาจลทางเชื้อชาติที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ มีผู้เสียชีวิต 63 คน ในจำนวนนั้น 9 คนเสียชีวิตจากน้ำมือของตำรวจ

การประท้วงในวอตส์ ปี 1965

เกิดการประท้วงรุนแรงในย่านวอตส์ของลอสแอนเจลิสในปี 1965 จากความโกรธสะสมต่อการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของตำรวจ และการขาดทรัพยากรในชุมชน มีผู้เสียชีวิตกว่า 30 คน โดยสองในสามเสียชีวิตจากกระสุนของตำรวจหรือกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติ หลายคนกล่าวว่าย่านดังกล่าวไม่เคยฟื้นตัวเต็มที่จากไฟไหม้ที่เผาทำลายอาคารหลายร้อยหลัง

การประท้วงต่อต้านการบูรณาการในทศวรรษ 1950–1960

ในปี 1956 ผู้ว่าการรัฐเทนเนสซีได้ส่งกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติเพื่อช่วยบังคับใช้คำสั่งบูรณาการในเมืองคลินตัน รัฐเทนเนสซี หลังจากกลุ่มคนผิวขาวหัวรุนแรงต่อต้านคำสั่งของรัฐบาลกลางให้ยกเลิกการแบ่งแยก

ประธานาธิบดีดไวต์ ไอเซนฮาวร์ ได้เรียกกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติรัฐอาร์คันซอ และกองพลที่ 101 ของกองทัพบกสหรัฐฯ ในปี 1957 เพื่อคุ้มกันนักเรียนผิวดำ 9 คนที่เข้าเรียนในโรงเรียนที่เคยสงวนไว้สำหรับคนผิวขาวเท่านั้น

อีกไม่กี่ปีต่อมา กองกำลังพิทักษ์แห่งชาติรัฐแมรีแลนด์ประจำอยู่ในเมืองเคมบริดจ์เป็นเวลาสองปี หลังจากผู้ว่าการรัฐแมรีแลนด์จากพรรคเดโมแครต เจ มิลลาร์ด ทอว์ส เรียกทหารเข้ามาในปี 1963 เพื่อไกล่เกลี่ยการปะทะอย่างรุนแรงระหว่างกลุ่มคนผิวขาวและผู้ประท้วงผิวดำที่เรียกร้องการบูรณาการ

การประท้วงเรียกร้องสิทธิเลือกตั้งในเซลมา รัฐแอละแบมา ปี 1965

กองกำลังพิทักษ์แห่งชาติมีบทบาทสำคัญในขบวนเดินขบวนที่มักได้รับเครดิตว่ากดดันให้มีการผ่านกฎหมายสิทธิในการเลือกตั้งปี 1965 เมื่อผู้ประท้วงไม่ใช้ความรุนแรง  รวมถึงจอห์น ลูอิส สมาชิกสภาคองเกรสผู้ล่วงลับ  ที่เรียกร้องสิทธิในการเลือกตั้ง ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐแอละแบมาโจมตีอย่างรุนแรงในเมืองเซลมา ปี 1965

สองสัปดาห์ต่อมา ประธานาธิบดีลินดอน บี. จอห์นสัน ได้ส่งกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติเพื่อคุ้มกันผู้ประท้วงหลายพันคนตลอดเส้นทางเดินขบวน 50 ไมล์ (81 กิโลเมตร) ไปยังอาคารรัฐสภาของรัฐ การตัดสินใจของจอห์นสันขัดแย้งกับผู้ว่าการรัฐขณะนั้น จอร์จ วอลเลซ ซึ่งสนับสนุนการแบ่งแยก