เศรษฐกิจโลกที่ใหญ่อันดับสองกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ โดยสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ดำเนินต่อเนื่องภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สร้างผลกระทบอย่างหนักต่อภาคการส่งออกของจีน
ข้อมูลจากกรมศุลกากรจีนล่าสุดเผยให้เห็นภาพที่ซับซ้อนของเศรษฐกิจจีน ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการค้าระหว่างประเทศรวมของจีนในสกุลเงินหยวนยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่ารวม 17.94 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อัตราการเติบโตนี้สูงขึ้น 0.1 จุดเปอร์เซ็นต์เมื่อเปรียบเทียบกับช่วง 4 เดือนแรกของปี
อย่างไรก็ตาม เมื่อวิเคราะห์ลึกลงไปในเดือนพฤษภาคมเพียงเดือนเดียว จะพบว่าการเติบโตของการส่งออกชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด โดยขยายตัวเพียง 4.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งต่ำกว่าการเติบโต 8.1% ในเดือนเมษายน และต่ำกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเติบโต 5.0%
ผลกระทบที่รุนแรงที่สุดมาจากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งทรุดตัวลง 34.5% ในเดือนพฤษภาคม เป็นการลดลงที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 ช่วงการระบาดของโควิด-19 ในขณะที่การนำเข้าจากสหรัฐก็ลดลง 18.1% เทียบกับการลดลง 13.8% ในเดือนเมษายน สะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น
ด้านดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) สถานการณ์ทรุดหนักกว่าที่คาดการณ์ โดยปรับลดลง 3.3% ในเดือนพฤษภาคมเมื่อเทียบกับปีก่อน ลึกกว่าการลดลง 2.7% ในเดือนเมษายน และเป็นการลดลงที่รุนแรงที่สุดในรอบ 22 เดือน เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าก็ลดลง 0.4% สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนชี้แจงว่าการลดลงของ PPI เกิดจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับลด ส่งผลให้ราคาในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับปิโตรเลียมภายในประเทศลดลงตาม
สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดหลักของอัตราเงินเฟ้อ ยังคงติดลบที่ 0.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนในเดือนพฤษภาคม แม้ว่าเงินเฟ้อพื้นฐาน (core inflation) ที่ไม่รวมราคาอาหารและเชื้อเพลิงจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยที่ 0.6% จาก 0.5% ในเดือนก่อน แต่นักวิเคราะห์ยังมองว่าการปรับตัวดีขึ้นนี้ "เปราะบาง" และคาดว่าจีนจะยังคงเผชิญกับแรงกดดันเงินเฟ้อติดลบทั้งในปีนี้และปีหน้า
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสำคัญจากการที่รัฐบาลจีนเข้มงวดในการควบคุมการส่งออกมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าแร่ธาตุหายาก ซึ่งส่งออกลดลงเกือบครึ่งหนึ่งในเดือนพฤษภาคม รวมถึงการส่งออกเครื่องจักรไฟฟ้าที่ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด การตรวจสอบของศุลกากรที่เข้มงวดขึ้นก็ส่งผลต่อการชะลอตัวของการส่งออกในเดือนนี้
สถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศก็ไม่ดีไปกว่ากัน โดยการนำเข้าวัตถุดิบสำคัญอย่างน้ำมันดิบ ถ่านหิน และแร่เหล็กลดลงในเดือนพฤษภาคม สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของอุปสงค์ภายในประเทศ การเติบโตของยอดขายปลีกชะลอลงเนื่องจากความไม่มั่นคงในการจ้างงานและราคาบ้านใหม่ที่ซบเซา แม้แต่กาแฟสตาร์บัคส์ก็ประกาศลดราคาเครื่องดื่มเย็นเฉลี่ย 5 หยวนในจีนเพื่อกระตุ้นยอดขาย
เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายประการในเดือนพฤษภาคม ได้แก่ การลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงและโครงการเงินกู้ต้นทุนต่ำ 500,000 ล้านหยวนเพื่อสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุและการบริโภคในภาคบริการ มาตรการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกในการฟื้นตัวจากผลกระทบของการระบาดและการตกต่ำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อ
แม้ว่าปักกิ่งและวอชิงตันจะตกลงระงับภาษีส่วนใหญ่เป็นเวลา 90 วัน และตัวแทนการค้าของทั้งสองประเทศกำลังเจรจากันในลอนดอนหลังการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างผู้นำระดับสูงในวันพฤหัสบดี แต่ความตึงเครียดระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะประเด็นการควบคุมแร่ธาตุหายากของจีนและปัญหาไต้หวัน
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการชะลอตัวของการเติบโตการส่งออกอาจกลับตัวบางส่วนในเดือนนี้ เนื่องจากสะท้อนถึงการลดลงของคำสั่งซื้อจากสหรัฐก่อนการหยุดยิงทางการค้า แต่เตือนว่าการส่งออกจะได้รับผลกระทบอีกครั้งในช่วงสิ้นปีเนื่องจากระดับภาษีที่ยังคงสูง
ภาพรวมข้อมูลเศรษฐกิจเหล่านี้เผยให้เห็นถึงความซับซ้อนและความท้าทายที่จีนกำลังเผชิญ ทั้งจากแรงกดดันภายนอกจากสงครามการค้าและแรงกดดันภายในจากอุปสงค์ที่อ่อนแอและแรงกดดันเงินเฟ้อติดลบ ในขณะที่ตลาดหุ้นจีนแสดงปฏิกิริยาอย่างอ่อนๆ ต่อข้อมูลนี้ โดยดัชนี CSI300 และดัชนี Shanghai Composite เพิ่มขึ้นเพียงประมาณ 0.2% การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนยังต้องการเวลาและนโยบายที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้เพื่อให้บรรลุความสมดุลและความยั่งยืน