นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนวรรณ จำกัด เปิดเผยในงานสัมนา "Thailand Investment Forum 2025: Great Depression พลิกเกมฝ่าวิกฤติ" จัดโดย ฐานเศรษฐกิจ กรุงเทพธุรกิจ และโพสต์ทูเดย์ ในหัวข้อ “Growth Stock Im-Depth : Strategies for Success ว่า แม้จะมีความไม่แน่นอนสูง แต่ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกายังมีความน่าสนใจ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง และโดยสถิติแล้วตลาดหุ้นมักจะฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลังของปีแรกที่ประธานาธิบดีคนใหม่เข้ารับตำแหน่ง
สำหรับโอกาสการลงทุนนั้น ยังคงให้น้ำหนักกับกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี และปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะกลุ่ม Magnificent 7 หรือ 7 นางฟ้า แต่ยกเว้น Tesla ที่มีความผันผวนสูง เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตของกำไร (Earnings) ที่แข็งแกร่งและชัดเจน
อีกทั้งยังมองว่าตลาดหุ้นจีน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากมีราคาที่ถูกมากเมื่อเทียบกับตลาดอื่นในโลก (ค่า P/E ต่ำ) ประกอบกับนโยบายภาครัฐที่มุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรม Deep Tech และ AI อย่างจริงจัง แม้จะยังมีความเสี่ยงในภาคอสังหาริมทรัพย์อยู่บ้างก็ตาม
อย่างไรก็ดี อย่าเพิ่งแตะหุ้นไทยมากและควรมีในพอร์ตประมาณ 10% โดยเน้นไปที่หุ้นปันผลสูง (SET HD) เนื่องจากตลาดต่างประเทศมีขนาดใหญ่และมีหุ้นเติบโตสูง (Growth Stocks) ให้เลือกลงทุนมากกว่า
อย่างไรก็ตาม เพื่อรับมือกับความผันผวนแนะนำให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่น โดยเฉพาะตราสารหนี้ต่างประเทศสกุลดอลลาร์ ซึ่งปัจจุบันให้ผลตอบแทนประมาณ 4-5% และยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มจากอัตราแลกเปลี่ยนหากเงินบาทอ่อนค่าลง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย อาจแบ่งพอร์ตมาที่ตราสารหนี้ถึง 50%
นอกจากนี้ สินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Assets) เช่น Life Settlement Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในตลาดรองประกันชีวิตในสหรัฐฯ ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะให้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่สม่ำเสมอประมาณ 7-8% ต่อปี และมีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นน้อย ช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวมได้เป็นอย่างดี
นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) และกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยจะเติบโตได้ จะต้องมีนักลงทุนครบทั้ง 3 องค์ประกอบ ได้แก่ นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนต่างประเทศ แต่เนื่องจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นภาษีทรัมป์ การเมืองในประเทศ และผลตอบแทนตลาดหุ้น ทำให้นักลงทุนมีความกังวลในการลงทุน
โดยนักลงทุนจะต้องเลือกลงทุนในหุ้นที่มีอนาคต เติบโตต่อเนื่อง มีการจ่ายปันผลที่ดี ส่งเสริมให้พอร์ตเราเติบโตได้ในอนาคต ซึ่งยังมีหลายอุตสาหกรรมที่เติบโตได้ กลุ่มหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ เช่น สื่อสาร โรงพยาบาล และโรงแรม
ซึ่งนักลงทุนจะต้องมีการจัดพอร์ตการลงทุน สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ลงทุนหุ้นต่างประเทศ 50-60% ของพอร์ต โดยมองว่าเวียดนาม พอที่จะลงทุนได้ ส่วนจีน 2-3 ปีนี้ น่าจะลงทุนได้ ขณะที่อินเดียลงทุนได้ แต่ต้องระมัดระวัง ด้านนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ลงทุนในตราสารหนี้ 50% ของพอร์ต นอกจากนี้ จะต้องลงทุนทองคำ เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงในภาวะตลาดหุ้นผันผวน