ฮาร์วาร์ดสะเทือน ทรัมป์แบนรับ นศ.ต่างชาติ บีบย้ายที่เรียน

23 พ.ค. 2568 | 03:31 น.
อัปเดตล่าสุด :23 พ.ค. 2568 | 03:55 น.

รัฐบาลทรัมป์เพิกถอนสิทธิ์ฮาร์วาร์ดในการรับนักศึกษาต่างชาติ พร้อมบีบให้นักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่ต้องหามหาวิทยาลัยใหม่ ไม่เช่นนั้นเสี่ยงถูกถอนวีซ่าทันที

รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยกระดับความขัดแย้งกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ด้วยการเพิกถอนความสามารถของสถาบันในการรับนักเรียนต่างชาติ

รัฐบาลแจ้งนักเรียนต่างชาติของฮาร์วาร์ดที่มีอยู่หลายพันคนว่า จะต้องย้ายไปเรียนในมหาวิทยาลัยอื่น ไม่อย่างนั้นจะเสียสิทธิ์ทางกฎหมายในการพำนักอยู่ในสหรัฐฯ

มาตรการนี้อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อมหาวิทยาลัย ซึ่งมีนักเรียนต่างชาติประมาณ 6,800 คน ส่วนใหญ่อยู่ในระดับบัณฑิตศึกษา โดยนักเรียนเหล่านั้นอาจต้องเร่งหาทางออกใหม่โดยเร็ว

กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิเป็นผู้ดำเนินการตามมาตรการล่าสุดนี้ เนื่องจากฮาร์วาร์ดไม่ปฏิบัติตามคำร้องขอให้ส่งมอบเอกสารเกี่ยวกับนักเรียนต่างชาติอย่างครบถ้วน คริสตี โนเอม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ ระบุในจดหมาย

 โนเอม กล่าวหาฮาร์วาร์ดว่า ปล่อยให้สภาพแวดล้อมในมหาวิทยาลัยไม่ปลอดภัย เป็นปฏิปักษ์ต่อชาวยิว สนับสนุนกลุ่มฮามาส และใช้แนวทางนโยบาย ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการมีส่วนร่วมที่เหยียดเชื้อชาติ

มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ออกแถลงการณ์ตอบโต้ทันที ระบุว่า คำสั่งนี้เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและเป็นการล้างแค้นทางการเมือง โดยเตือนว่ามาตรการนี้จะก่อให้เกิดผลเสียร้ายแรงต่อชุมชนของฮาร์วาร์ดและประเทศสหรัฐฯ โดยรวม

ปีการศึกษา 2024–2025 ฮาร์วาร์ดมีนักศึกษาต่างชาติราว 6,800 คน หรือคิดเป็น 27% ของนักเรียนทั้งหมด โดยกลุ่มใหญ่ที่สุดมาจากจีน ตามด้วยแคนาดา อินเดีย เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร เยอรมนี ออสเตรเลีย สิงคโปร์ และญี่ปุ่น

สมาคม NAFSA ระบุว่า นักศึกษาต่างชาติของฮาร์วาร์ดสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจให้ท้องถิ่นอย่างมหาศาล ในปี 2023–2024 เพียงปีเดียว พวกเขามีการใช้จ่ายรวมทั้งค่าเล่าเรียน ค่าครองชีพ และค่าดำรงชีวิต รวมกว่า 384 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และช่วยสร้างงานกว่า 3,900 ตำแหน่งในพื้นที่

ท่ามกลางความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรง ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้แช่แข็งเงินทุนจากรัฐบาลกลางที่เคยมอบให้ฮาร์วาร์ดรวมมูลค่าราว 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมกับตัดงบสนับสนุนจากกระทรวงสาธารณสุขอีก 60 ล้านดอลลาร์ โดยกล่าวหาว่าฮาร์วาร์ดเพิกเฉยต่อการจัดการปัญหาการเหยียดเชื้อชาติและลัทธิต่อต้านชาวยิว

มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐบาลกลางเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ยืนยันว่าทางสถาบันมีความมุ่งมั่นในการต่อต้านลัทธิต่อต้านยิว และพยายามสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับนักเรียนชาวยิวและชาวอิสราเอล

อีกด้านหนึ่ง แอรอน ไรช์ลิน-เมลนิค นักวิเคราะห์จาก American Immigration Council วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาว่า นโยบายของรัฐบาลชุดนี้เท่ากับเป็นการลงโทษนักศึกษาต่างชาตินับพันคนที่ไม่ได้กระทำผิด พร้อมชี้ว่าพวกเขาถูกใช้เป็นตัวประกันทางการเมือง

ขณะเดียวกัน ศาลรัฐบาลกลางได้มีคำตัดสินในอีกคดีหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับความพยายามของทรัมป์ในการเพิกถอนวีซ่านักเรียนต่างชาติทั่วประเทศ โดยระบุว่ารัฐบาลไม่สามารถดำเนินการได้หากไม่ปฏิบัติตามกระบวนการทางกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่าคำตัดสินนี้จะส่งผลต่อกรณีของฮาร์วาร์ดอย่างไร

รัฐบาลมีอำนาจควบคุมการรับนักเรียนของฮาร์วาร์ดหรือไม่

รัฐบาลสหรัฐฯ มีอำนาจในการควบคุมว่า ใครสามารถเข้าประเทศได้ กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) จะเป็นผู้ดูแลว่าสถาบันการศึกษาใดอยู่ภายใต้โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนและผู้มาเยือน (Student Exchange and Visitor Program)

DHS ระบุว่าจะถอดชื่อฮาร์วาร์ดออกจากโครงการนี้ ที่เปิดโอกาสให้มหาวิทยาลัยสามารถออกเอกสารให้นักเรียนต่างชาติที่ได้รับการตอบรับเข้าเรียน และนักเรียนจะใช้เอกสารเหล่านั้นในการขอวีซ่าเพื่อเข้ามาศึกษาในสหรัฐฯ

นักเรียนต่างชาติที่กำลังศึกษาอยู่ในฮาร์วาร์ดสามารถเรียนจบได้หรือไม่

นักเรียนที่เรียนจบในภาคการศึกษานี้จะสามารถสำเร็จการศึกษาได้ จดหมายของ โนเอม ระบุว่า มาตรการดังกล่าวจะมีผลในปีการศึกษา 2025–2026 โดยนักศึกษารุ่นปี 2025 ของฮาร์วาร์ดคาดว่าจะสำเร็จการศึกษาในสัปดาห์หน้า

อย่างไรก็ตาม โนเอม ระบุว่า นักเรียนที่ยังไม่จบการศึกษาจะต้องย้ายไปเรียนที่สถาบันอื่น มิฉะนั้นจะสูญเสียสิทธิ์ทางกฎหมายในการพำนักอยู่ในสหรัฐฯ

นักเรียนที่ได้รับการตอบรับเข้าเรียนในภาคฤดูใบไม้ร่วงยังสามารถเข้าเรียนได้หรือไม่

ไม่ได้ เว้นแต่รัฐบาลจะเปลี่ยนการตัดสินใจ หรือศาลมีคำสั่งแทรกแซง ณ เวลานี้ โนเอม ระบุว่า ฮาร์วาร์ดยังสามารถฟื้นสถานะการเป็นสถาบันเจ้าภาพนักเรียนต่างชาติได้ หากดำเนินการตามข้อเรียกร้องภายใน 72 ชั่วโมง ซึ่งรวมถึงการส่งมอบเอกสารหลายประเภท เช่น บันทึกวินัยของนักเรียนต่างชาติ และคลิปเสียงหรือวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับการประท้วง
โนเอม ระบุว่า ฮาร์วาร์ดเคยไม่ยอมมอบเอกสารเหล่านั้นมาก่อน

ทางมหาวิทยาลัยกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า กำลังพยายามให้คำแนะนำแก่นักเรียนที่ได้รับผลกระทบ

รัฐบาลเคยดำเนินการแบบนี้มาก่อนหรือไม่

รัฐบาลสามารถ และเคยถอดชื่อมหาวิทยาลัยออกจากโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนและผู้มาเยือน ซึ่งทำให้ไม่สามารถรับนักเรียนต่างชาติได้ อย่างไรก็ตาม เหตุผลส่วนใหญ่เป็นเหตุผลด้านการบริหารตามที่กฎหมายกำหนด เช่น การไม่รักษาสถานะรับรองคุณภาพ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสม ไม่มีบุคลากรวิชาชีพที่มีคุณสมบัติเหมาะสม หรือไม่สามารถดำเนินการในฐานะสถาบันการศึกษาที่แท้จริงบางแห่งถูกถอดออกเนื่องจากปิดกิจการ

รัฐบาลทรัมป์โจมตีฮาร์วาร์ดในประเด็นอื่นอีกหรือไม่

การต่อสู้ระหว่างฮาร์วาร์ดกับรัฐบาลทรัมป์ เริ่มขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นสถาบันชั้นนำแห่งแรกที่ปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของรัฐบาลให้จำกัดการประท้วงสนับสนุนปาเลสไตน์ และยกเลิกนโยบายด้านความหลากหลาย ความเสมอภาค และการมีส่วนร่วม นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของมาตรการที่รุนแรงขึ้นต่อฮาร์วาร์ด

หน่วยงานรัฐบาลหลายแห่ง รวมถึง DHS และสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ได้ตัดงบวิจัยที่ให้แก่ฮาร์วาร์ด ส่งผลกระทบต่องานวิจัยของคณาจารย์ฮาร์วาร์ดยื่นฟ้องรัฐบาล เพื่อขอให้ยุติการระงับทุนดังกล่าว

รัฐบาลได้ข่มขู่ว่าจะเพิกถอนสิทธิ์ในการรับนักเรียนต่างชาติของฮาร์วาร์ดตั้งแต่เดือนเมษายน  ทรัมป์ยังกล่าวว่า ฮาร์วาร์ดควรถูกเพิกถอนสถานะยกเว้นภาษี ซึ่งหากเป็นจริงจะกระทบต่อศักยภาพในการระดมทุนของมหาวิทยาลัยอย่างรุนแรง เนื่องจากผู้บริจาครายใหญ่จำนวนมากเลือกบริจาคให้สถาบันที่ได้รับยกเว้นภาษีเพื่อลดภาระภาษีของตนเอง