คะแนนนิยม "ทรัมป์" ร่วงแตะจุดต่ำสุดรอบวาระ 2 ชี้ชาวมะกันกังวลเศรษฐกิจหนัก

22 พ.ค. 2568 | 06:00 น.

โพล Reuters/Ipsos ล่าสุดเผย คะแนนนิยม "ทรัมป์" ลดเหลือ 42% ท่ามกลางเสียงวิจารณ์การจัดการเศรษฐกิจ แม้นโยบายภาษีจะหวังฟื้นการค้า แต่กลับเพิ่มความเสี่ยงถดถอย

คะแนนนิยมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ยังคงลดลงในสัปดาห์นี้ มาอยู่ที่ 42% ซึ่งถือว่าเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เริ่มต้นวาระที่สอง ตามผลสำรวจของ Reuters/Ipsos ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ถ่วงคะแนนนิยมของทรัมป์คือ ความกังวลของชาวอเมริกันต่อการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ

ผลสำรวจออนไลน์ที่จัดขึ้นทั่วประเทศระหว่างวันที่ 16-18 พฤษภาคม จากกลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกัน 1,024 คน พบว่าคะแนนนิยมของทรัมป์ลดลงจากระดับ 44% เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า โดยโพลครั้งนี้มีค่าคลาดเคลื่อนอยู่ที่ ±3 จุดเปอร์เซ็นต์ ขณะที่คะแนนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการบริหารเศรษฐกิจของทรัมป์ยังคงอยู่ที่ 39% เช่นเดียวกับสัปดาห์ก่อน และมีเพียง 33% เท่านั้นที่ให้คะแนนบวกต่อการจัดการปัญหาค่าครองชีพ แม้จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 31% เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า

แม้คะแนนนิยมของทรัมป์จะถือว่าต่ำตามมาตรฐานทางประวัติศาสตร์ แต่ก็ยังสูงกว่าช่วงเวลาส่วนใหญ่ในวาระแรกของทรัมป์ และสูงกว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนในช่วงครึ่งหลังของวาระ 2021-2025 ด้วยซ้ำ โดยจุดสูงสุดของทรัมป์ในวาระที่สองอยู่ที่ 47% หลังกลับเข้าสู่ทำเนียบขาวในเดือนมกราคมที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ความผันผวนทางนโยบายที่เป็นเอกลักษณ์ของทรัมป์ยังคงเป็นที่จับตามอง โดยเฉพาะในประเด็นเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ทรัมป์ประกาศลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจากเดิม 145% เหลือเพียง 30% เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 90 วัน ถือเป็นการกลับลำจากนโยบาย "วันปลดแอก" ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 2 เมษายน ซึ่งตั้งเป้าเก็บภาษีสูงกับเกือบทุกประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ แต่นโยบายนี้กลับส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดหุ้นทั้งในและต่างประเทศอย่างหนัก และจุดกระแสความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเคยกำหนดภาษีนำเข้า 10% สำหรับทุกประเทศเมื่อวันที่ 5 เมษายน และเพิ่มอัตราภาษีเพิ่มเติมกับประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าในช่วงกลางเดือนเมษายน แต่ก็กลับลำอีกครั้ง โดยประกาศระงับการเก็บภาษีเป็นเวลา 90 วัน ยกเว้นเฉพาะประเทศจีน

ผลกระทบจากนโยบายภาษีที่เข้มข้นนี้เริ่มสร้างแรงกดดันต่อต้นทุนของผู้นำเข้า ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์หลายคนเตือนว่าอาจเร่งให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นอีกในอนาคต แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงในยุคของไบเดนจะเริ่มมีแนวโน้มลดลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ความเสี่ยงเรื่องต้นทุนที่เพิ่มขึ้นก็ยังเป็นปัจจัยที่ไม่อาจมองข้ามได้

ล่าสุด ทรัมป์ออกมากดดัน Walmart บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของโลก โดยเรียกร้องให้
"รับภาระภาษีไว้เอง" แทนที่จะผลักภาระให้ผู้บริโภคผ่านราคาสินค้าที่สูงขึ้น พร้อมทั้งกดดันธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ให้ลดอัตราดอกเบี้ยลง แต่ธนาคารกลางกลับแสดงความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และยังไม่ขยับตามแรงกดดันจากฝ่ายบริหาร

นอกจากประเด็นเศรษฐกิจแล้ว วาระที่สองของทรัมป์ยังมีเหตุการณ์สำคัญหลายครั้งที่เป็นที่ถกเถียงในสังคม เช่น การใช้กฎหมาย Alien Enemies Act ปี 1798 ในการเนรเทศผู้อพยพ ซึ่งสร้างกระแสวิพากษ์ในวงกว้างว่าทรัมป์กำลังละเมิดกระบวนการยุติธรรมและอำนาจตุลาการ

ในช่วงไม่กี่เดือนแรกของวาระใหม่ ทรัมป์ยังให้ความสำคัญกับการลดขนาดระบบราชการกลาง โดยร่วมมือกับกระทรวงประสิทธิภาพการบริหารที่นำโดยอีลอน มัสก์ ขณะเดียวกัน ทรัมป์ได้เปิดทำเนียบขาวต้อนรับผู้นำระดับโลกหลายคน เช่น นายกรัฐมนตรีมาร์ก คาร์นีย์ของแคนาดา ซึ่งมีจุดยืนชัดเจนในการต่อต้านข้อเสนอของทรัมป์ที่ให้แคนาดากลายเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ รวมถึงเหตุการณ์รุนแรงในการประชุมกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครน ที่เขาและรองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ ตำหนิผู้นำยูเครนอย่างเปิดเผยต่อหน้าสื่อ

แม้จะมีคะแนนนิยมที่ยังไม่ร่วงหล่นถึงขั้นวิกฤต แต่ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง และแรงเสียดทานจากทั้งภายในและนอกประเทศ นโยบายของทรัมป์ยังต้องเผชิญกับบททดสอบสำคัญว่าจะสามารถเปลี่ยน "ยุคทองของเศรษฐกิจอเมริกา" ที่ทรัมป์สัญญาไว้ ให้กลายเป็นความจริงได้หรือไม่