ราคาทองคำปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในวันพุธที่ผ่านมา โดยร่วงลงมากกว่า 2% แตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 เดือน หลังความหวังเกี่ยวกับแนวโน้มข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน ส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ และหันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
ราคาทองคำสปอต (Spot Gold) ณ เวลา 17:55 น. ตามเวลา GMT (หรือ 13:55 น. ตามเวลา ET) ร่วงลง 2% มาอยู่ที่ระดับ 3,181.62 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน โดยในระหว่างวัน ราคายังเคยดิ่งลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 3,174.62 ดอลลาร์ ขณะที่สัญญาทองคำล่วงหน้าสหรัฐฯ ปิดตลาดที่ระดับ 3,188.3 ดอลลาร์ ลดลง 1.8%
ไท หว่อง นักเทรดโลหะอิสระ วิเคราะห์ว่า การปรับลดภาษีครั้งใหญ่ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนได้จุดกระแส “Global relief rally” หรือตลาดทั่วโลกที่โล่งใจและพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาทองคำถูกกดดันและเกิดการปรับฐานผ่านแนวรับทางเทคนิคอย่างรวดเร็ว
ดัชนีหุ้นหลักของวอลล์สตรีทต่างเปิดตลาดในแดนบวก ขานรับข้อตกลงลดภาษีระหว่างวอชิงตันและปักกิ่ง พร้อมความคาดหวังต่อการเจรจาข้อตกลงทางการค้าเพิ่มเติม โดยทั้งสองฝ่ายตกลงลดภาษีอย่างมากและประกาศพักการเจรจา 90 วัน เพื่อดำเนินการในรายละเอียดให้แล้วเสร็จ
ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์เมื่อวันอังคารว่า เขาอาจเข้าพูดคุยโดยตรงกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนในประเด็นข้อตกลงดังกล่าว และยังกล่าวเสริมอีกว่ากำลังมีข้อตกลงที่เป็นไปได้กับอินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ อยู่ในระหว่างดำเนินการ
ทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยซึ่งมักถูกซื้อขายเพิ่มขึ้นในช่วงที่เกิดความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจ เคยพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดที่ 3,500.05 ดอลลาร์เมื่อเดือนที่แล้ว และนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ราคาทองคำยังปรับขึ้นแล้วกว่า 21.3%
แม้ราคาทองคำยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาว แต่ ฟาวาด ราซักซาดา (Fawad Razaqzada) นักวิเคราะห์ตลาดจาก City Index และ FOREX.com เตือนว่า แรงกดดันฝั่งขายอาจยังคงต่อเนื่องในช่วงไม่กี่วันข้างหน้า โดยระบุว่าระดับแนวรับแรกอยู่ที่ 3,136 ดอลลาร์ ตามด้วย 3,073 ดอลลาร์ และระดับสำคัญที่นักลงทุนจับตามากที่สุดคือ 3,000 ดอลลาร์
นักลงทุนยังรอติดตามข้อมูลดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ ที่มีกำหนดเผยแพร่ในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดทิศทางเงินเฟ้อภาคการผลิต และอาจมีผลต่อแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) โดยในสถานการณ์ปกติ หากเฟดปรับลดดอกเบี้ยลงจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับทองคำ เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนดอกเบี้ย (zero-yielding asset)
ด้านราคาของโลหะมีค่าชนิดอื่น ๆ ก็ถูกแรงเทขายตามไปด้วยเช่นกัน โดยราคาซิลเวอร์ (Silver) ลดลง 1.9% มาอยู่ที่ 32.25 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่แพลตินัม (Platinum) ลดลง 0.6% ที่ 982.05 ดอลลาร์ และพัลลาเดียม (Palladium) ลดลง 0.3% มาอยู่ที่ 954.36 ดอลลาร์
ท่ามกลางกระแสความหวังในแนวโน้มการค้าระหว่างประเทศที่เริ่มกลับมา นักลงทุนยังคงต้องจับตาความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางสหรัฐฯ และความคืบหน้าของข้อตกลงระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพราะแม้ราคาทองคำจะเข้าสู่ช่วงพักฐาน แต่การฟื้นตัวของความผันผวนก็อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อในเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน