วงการฮอลลีวูดทรุด? จีนโบกมือลา-ทรัมป์เร่งชูดีลใหม่ หวังดันอุตฯ บันเทิงฟื้น

06 พ.ค. 2568 | 11:00 น.

ทรัมป์ประกาศเก็บภาษี 100% กับหนังต่างชาติ หวังฟื้นฮอลลีวูดที่กำลังร่วง จีนจ่อแบนหนังอเมริกันซ้ำ วงการภาพยนตร์สหรัฐเสี่ยงทรุดหนัก ผู้เชี่ยวชาญชี้อาจเจ็บตัวมากกว่าช่วย

ในช่วงเวลาที่ฮอลลีวูดกำลังเผชิญกับภาวะซบเซาครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาประกาศมาตรการที่เรียกเสียงฮือฮาและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเวลาเดียวกัน ด้วยการเสนอให้จัดเก็บ “ภาษี 100%” กับภาพยนตร์ที่ผลิตนอกสหรัฐอเมริกา โดยให้เหตุผลว่าเป็นการ “กอบกู้ฮอลลีวูด” ที่เขาระบุว่ากำลัง “ตายไปต่อหน้าต่อตาเรา” พร้อมโจมตีว่าอุตสาหกรรมบันเทิงของอเมริกาในปัจจุบัน “เต็มไปด้วยผลงานที่แย่ และอุดมการณ์ฝ่ายซ้าย”

มาตรการนี้อาจถูกใจกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ที่เชื่อมั่นในแนวคิด "อเมริกาต้องมาก่อน" แต่ในทางเศรษฐกิจและเชิงอุตสาหกรรม บรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า การเก็บภาษี 100% กับหนังต่างชาติอาจเป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับผู้จัดจำหน่ายและผู้บริโภคในสหรัฐ แถมยังอาจจุดชนวนให้เกิดมาตรการตอบโต้จากต่างชาติที่เล็งเห็นว่านโยบายนี้ไม่เป็นมิตรต่อการค้าโลก

สิ่งที่ทำให้สถานการณ์นี้ยิ่งน่าจับตา คือรายงานข่าวจากสื่อจีนซึ่งอ้างว่า ปักกิ่งกำลังพิจารณาที่จะ “แบนนำเข้าภาพยนตร์จากฮอลลีวูด” เพื่อตอบโต้นโยบายของทรัมป์โดยตรง หากเกิดขึ้นจริง ผลกระทบต่อฮอลลีวูดอาจรุนแรงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เนื่องจากตลาดจีนถือเป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญของรายได้ภาพยนตร์อเมริกัน โดยเฉพาะบล็อกบัสเตอร์ทุนสูงที่พึ่งพายอดขายในต่างประเทศอย่างมาก

ข้อมูลจากช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า รายได้จากตลาดต่างประเทศคิดเป็นมากกว่า 60% ของรายได้รวมของภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลายเรื่อง และในจำนวนนั้น “จีน” คือหัวใจสำคัญ หนึ่งในตัวอย่างเด่นคือภาพยนตร์ที่ทำรายได้มหาศาลในจีนแม้จะได้ผลตอบรับปานกลางในตลาดสหรัฐ ซึ่งสะท้อนถึงพลังซื้อและอิทธิพลของผู้ชมชาวจีนต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์อเมริกันอย่างชัดเจน

แต่ในช่วงหลังจากการระบาดของโควิด-19 บวกกับการนัดหยุดงานของนักเขียนบทและนักแสดง ทำให้ฮอลลีวูดต้องเผชิญกับภาวะชะงักงันทั้งระบบ การผลิตภาพยนตร์จำนวนมากต้องล่าช้า โรงภาพยนตร์ปิดตัว หรือเปิดทำการแต่ไม่มีหนังฟอร์มใหญ่เข้าฉาย ผู้ชมในสหรัฐก็เปลี่ยนพฤติกรรมไปเสพคอนเทนต์ผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งกันมากขึ้น การเดินกลับเข้าสู่โรงหนังยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ขณะที่ต้นทุนการผลิตและโปรโมตภาพยนตร์ก็ยังคงสูงลิ่ว

ด้วยเหตุนี้ ความพยายามของทรัมป์ในการบีบภาพยนตร์ต่างชาติเพื่อเปิดทางให้ฮอลลีวูดกลับมายิ่งใหญ่ จึงถูกมองว่าเป็น “การยิงปืนใส่เท้าตัวเอง” มากกว่ามาตรการช่วยฟื้นฟู เพราะแทนที่อุตสาหกรรมในประเทศจะได้รับโอกาสในการแข่งขันมากขึ้น กลับกลายเป็นการปิดประตูสู่ตลาดโลกและกระตุ้นให้เกิดการตอบโต้ในลักษณะเดียวกัน

ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้บริบทที่คนรุ่นใหม่ทั่วโลก รวมถึงสหรัฐฯ เปิดรับคอนเทนต์หลากหลายจากหลายประเทศผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ความพยายามของทรัมป์อาจสวนทางกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ที่นิยมชมภาพยนตร์จากเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย และยุโรป ซึ่งล้วนมีศักยภาพในการแข่งขันเชิงคุณภาพกับฮอลลีวูดมากขึ้นเรื่อยๆ

จุดที่น่าสังเกตคือ การตั้งภาษีสูงถึง 100% จะกระทบต่อผู้จัดจำหน่ายหนังต่างประเทศในสหรัฐโดยตรง ซึ่งอาจส่งผลให้ค่ายหนังหลายแห่งถอนตัวจากการฉายในอเมริกา ขณะเดียวกันก็จะทำให้ผู้ชมในประเทศต้องจ่ายแพงขึ้นหากยังต้องการดูหนังจากนอกอเมริกา เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจกดดันยอดขายตั๋วภาพยนตร์ในประเทศให้ทรุดลงไปอีก

เมื่อประกอบกับความไม่แน่นอนทางการเมืองและการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนในระยะยาว หากจีนตัดสินใจแบนนำเข้าภาพยนตร์จากอเมริกาโดยสิ้นเชิง รายได้ของสตูดิโอยักษ์ใหญ่ในฮอลลีวูดอาจร่วงอย่างรุนแรง และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง ทั้งอุตสาหกรรมการจ้างงาน โฆษณา ท่องเที่ยว และเทคโนโลยีที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตภาพยนตร์

แม้ทรัมป์จะชูมาตรการนี้ในฐานะ “ไม้ตาย” เพื่อกอบกู้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของสหรัฐ แต่หากพิจารณาจากโครงสร้างอุตสาหกรรมโลกที่เปลี่ยนไป บวกกับการพึ่งพารายได้จากต่างประเทศโดยเฉพาะจีน แนวคิดการ “สร้างกำแพงภาษี” อาจไม่ใช่ทางออกที่ทำให้ฮอลลีวูดกลับมารุ่งเรือง แต่เป็นการผลักให้หลุดจากเวทีโลกเร็วขึ้นต่างหาก