สถานะความน่าเชื่อถือทางการเงินของประเทศไทยในปี 2025 กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อสถาบันจัดอันดับเครดิตชั้นนำอย่าง Moody’s Investors Service ได้ประกาศปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของไทยลงจาก “คงที่” เป็น “เชิงลบ” วันนี้ (29 เมษายน 2025) แม้อันดับเครดิตยังคงอยู่ที่ Baa1 ซึ่งถือว่าเป็นระดับ Investment Grade ที่สะท้อนความสามารถในการชำระหนี้ที่น่าเชื่อถืออยู่ แต่การปรับแนวโน้มเป็นเชิงลบครั้งนี้ก็ไม่อาจมองข้าม เพราะเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว
Moody’s ให้เหตุผลสำคัญว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตต่ำในระยะปานกลาง ขณะที่ภาระหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และความท้าทายในการดำเนินนโยบายการคลังของรัฐบาลไทยเริ่มชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะการผลักดันงบประมาณแบบขาดดุลซ้ำซากท่ามกลางรายได้ภาครัฐที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากผลกระทบโควิด-19 ส่งผลให้ความสามารถในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศอยู่ในระดับที่น่าจับตามองมากกว่าที่เคย
ขณะที่อีกสองสถาบันจัดอันดับเครดิตระดับโลก ได้แก่ S&P Global Ratings และ Fitch Ratings ยังคงอันดับเครดิตของไทยไว้ที่ระดับ BBB+ พร้อมแนวโน้ม “คงที่” แสดงให้เห็นว่ายังมีความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจไทยอยู่พอสมควร แม้จะมีแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ โดยเฉพาะการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าศักยภาพ และความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน สิงคโปร์ยังคงเป็นผู้นำแบบไร้ข้อกังขา ด้วยอันดับเครดิตสูงสุดในระดับ AAA จากทุกสถาบันการจัดอันดับ บ่งบอกถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การคลัง และระบบสถาบันที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
มาเลเซีย ยังคงรักษาระดับ A- จาก S&P พร้อมแนวโน้ม “คงที่” ซึ่งสูงกว่าประเทศไทยเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในระดับ Investment Grade เช่นกัน ขณะที่ ฟิลิปปินส์ และ อินโดนีเซีย อยู่ในระดับใกล้เคียงกับไทย โดยได้รับอันดับเครดิต BBB และ BBB+ ตามลำดับจาก S&P ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจและการบริหารการคลังที่ยังพอรับได้ แม้จะมีความเสี่ยงจากความเปราะบางด้านโครงสร้างพื้นฐานและรายได้ประชากร
สำหรับประเทศในกลุ่ม CLMV อย่าง เวียดนาม ได้รับอันดับเครดิต BB ซึ่งต่ำกว่าระดับ Investment Grade จาก S&P แต่ยังรักษาแนวโน้ม “คงที่” เช่นเดียวกับ กัมพูชา ที่ได้รับ B2 จาก Moody’s พร้อมแนวโน้มเชิงลบ ส่วน ลาว อยู่ในระดับต่ำที่สุดในภูมิภาคที่ CCC− จาก S&P ซึ่งเป็นระดับที่สะท้อนถึงความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้สูงมาก
แม้ประเทศไทยยังคงรักษาอันดับเครดิตให้อยู่ในระดับที่นักลงทุนยังไว้วางใจได้ แต่การถูกจับตามองมากขึ้นจากองค์กรจัดอันดับระดับโลก ก็ไม่อาจมองข้ามถึงความจำเป็นในการเร่งปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพาการท่องเที่ยวและส่งออก พร้อมทั้งบริหารการคลังอย่างมีวินัยในช่วงเวลาที่หนี้สาธารณะของประเทศกำลังขยับเข้าใกล้เพดานใหม่ที่กำหนดไว้
นอกจากนี้ ความสามารถในการส่งเสริมนวัตกรรม การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว และการปรับตัวต่อเศรษฐกิจดิจิทัล ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจช่วยให้ประเทศไทยสามารถฟื้นความเชื่อมั่นในสายตาสถาบันจัดอันดับเครดิต และผลักดันอันดับของประเทศให้สูงขึ้นได้ในอนาคต