ในจังหวะที่ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองมหาอำนาจอย่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯ กำลังเดินอยู่บนเส้นด้าย ริโยเสะ อากาซาวะ ผู้แทนการค้าญี่ปุ่น ได้ออกเดินทางไปยังกรุงวอชิงตันอีกครั้งในวันพุธนี้ เพื่อเจรจารอบที่สองกับสหรัฐฯ หวังลดหรือยกเลิกภาษีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศใช้ซึ่งกำลังสร้างแรงกดดันต่อบริษัทญี่ปุ่นอย่างหนัก
ญี่ปุ่นซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญและนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราฐาน 10% เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ และยังเจอภาษีเพิ่มเติมอีกในหลายหมวด เช่น รถยนต์ เหล็ก และอะลูมิเนียม โดยเฉพาะภาษี “แบบตอบโต้” หรือ reciprocal tariffs ที่ทรัมป์ประกาศไว้สูงถึง 24% แม้ปัจจุบันจะถูกเลื่อนการบังคับใช้ออกไป 90 วัน แต่แรงกดดันทางเศรษฐกิจยังคงส่งผลกระทบอยู่ไม่หยุด
อากาซาวะเปิดเผยก่อนขึ้นเครื่องว่า "บริษัทญี่ปุ่นกำลังขาดทุนทุกวันจากภาษีสหรัฐฯ" และระบุว่าแค่ผู้ผลิตรถยนต์รายหนึ่งก็ขาดทุนถึงวันละเกือบ 24 ล้านดอลลาร์ หรือชั่วโมงละ 1 ล้านดอลลาร์ เขาจึงตั้งเป้าว่าแม้เพียงแค่ "หนึ่งหรือสองก้าว" ของความก้าวหน้าก็ถือเป็นชัยชนะ หากสามารถพัฒนาไปสู่ความสัมพันธ์แบบ win-win ได้
ในรอบการเจรจาครั้งใหม่นี้ อากาซาวะจะพบกับรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆ โดยหนึ่งในประเด็นที่ญี่ปุ่นอาจเสนอเพื่อแลกกับการผ่อนปรนภาษี คือการปรับขั้นตอนการทดสอบความปลอดภัยสำหรับรถยนต์นำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในข้อร้องเรียนหลักของทรัมป์
อีกข้อเสนอที่อยู่บนโต๊ะเจรจาคือการซื้อข้าวโพดและถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ เพิ่มเติม รวมถึงการหารือร่วมพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในรัฐอะแลสกา อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอให้ซื้อข้าวจากสหรัฐฯ ซึ่งมีข่าวว่าจะถูกหยิบยกขึ้นมาด้วยนั้น อาจเป็นเรื่องละเอียดอ่อนทางการเมือง เนื่องจากชาวนาในญี่ปุ่นถือเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรครัฐบาล และอาจไม่เห็นด้วยกับการเปิดทางให้ข้าวต่างชาติไหลเข้า
ขณะที่อีกด้านหนึ่งของสมการ อิทสึโนริ โอโนเดระ หัวหน้าฝ่ายนโยบายของพรรคเสรีประชาธิปไตยญี่ปุ่น (LDP) ได้ส่งสัญญาณเตือนอย่างชัดเจนต่อสหรัฐฯ ว่าภาษีทรัมป์อาจส่งผลกระทบที่มากกว่าเศรษฐกิจ เพราะอาจบั่นทอนเสถียรภาพของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก โดยเฉพาะในอาเซียน ซึ่งอาจเริ่มตีตัวออกห่างจากสหรัฐฯ หากแรงกดดันทางการค้าไม่คลี่คลาย
โอโนเดระกล่าวที่ศูนย์ยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศในกรุงวอชิงตันว่า “ภาษีทรัมป์อาจส่งผลต่อความมั่นคงในภูมิภาค เรากังวลว่านี่อาจทำให้พันธมิตรในอาเซียนห่างเหินจากสหรัฐฯ” พร้อมเสริมว่าญี่ปุ่นและสหรัฐฯ จำเป็นต้องร่วมกันสร้างการป้องปรามที่แข็งแกร่งขึ้นในเอเชียตะวันออก โดยไม่ปล่อยให้ความร่วมมือด้านความมั่นคงต้องสั่นคลอนเพราะสงครามการค้า
เขายังย้ำถึงบทบาทของญี่ปุ่นในฐานะผู้ลงทุนอันดับหนึ่งในสหรัฐฯ ซึ่งช่วยสร้างงานและส่งเสริมการส่งออกของสหรัฐฯ มาโดยตลอด “ถ้าภาษีทรัมป์ยังอยู่ บริษัทญี่ปุ่นก็จะอ่อนแอลง และนั่นจะทำให้พวกเขาลงทุนในสหรัฐฯ ได้น้อยลงตามไปด้วย” เขากล่าว พร้อมเตือนถึงช่องว่างที่จีนอาจเข้ามาแทนที่ หากสหรัฐฯ ยังเดินหน้าถอนตัวจากการสนับสนุนการพัฒนาในภูมิภาคผ่านองค์กรต่างๆ เช่น USAID
แม้สกุลเงินเยนของญี่ปุ่นจะแข็งค่าขึ้นหลังประกาศภาษี โดยล่าสุดซื้อขายอยู่ที่ 142 เยนต่อดอลลาร์จาก 158 เยนในช่วงกลางเดือนมกราคม แต่หัวข้อค่าเงินกลับไม่ถูกรวมอยู่ในการเจรจารอบแรก ซึ่งอาจสะท้อนว่าโตเกียวไม่ต้องการเพิ่มความผันผวนในตลาด
ในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ กำลังชั่งน้ำหนักทิศทางนโยบายการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ญี่ปุ่นกำลังพยายามก้าวเดินอย่างระมัดระวัง เพื่อรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคงในภูมิภาคไปพร้อมกัน บทสรุปของการเจรจารอบใหม่นี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องภาษี แต่คือสัญญาณสำคัญถึงอนาคตความร่วมมือของสองพันธมิตรที่กำลังถูกทดสอบภายใต้แรงเสียดทานระดับโลก