จับตาเศรษฐกิจแคนาดา ฟื้นหรือฝืด? เดิมพันอนาคตผู้นำใหม่

30 เม.ย. 2568 | 09:30 น.
อัปเดตล่าสุด :01 พ.ค. 2568 | 08:50 น.

นายกฯ คนใหม่ของแคนาดา “มาร์ค คาร์นีย์” ต้องเผชิญศึกใหญ่ทั้งศึกเศรษฐกิจในประเทศ การเมืองพลังงาน และความสัมพันธ์ตึงเครียดกับสหรัฐฯ

เศรษฐกิจแคนาดากำลังเผชิญบททดสอบสำคัญ ขณะที่ประเทศเพิ่งได้ผู้นำคนใหม่คือ “มาร์ค คาร์นีย์” ผู้ซึ่งต้องรับไม้ต่อในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนสูงสุด ทั้งจากปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา ภายใต้การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงความท้าทายจากภาคทรัพยากรธรรมชาติ และภารกิจรักษาวินัยการคลังท่ามกลางแรงกดดันทางการเมือง

รายงานเศรษฐกิจล่าสุดคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจแคนาดาจะเริ่มฟื้นตัวขึ้น โดย GDP มีแนวโน้มเติบโตจาก 1.3% ในปี 2024 เป็น 1.8% ในปี 2025 และ 2026 ซึ่งเกินกว่าศักยภาพการเติบโตของประเทศ และช่วยดูดซับกำลังการผลิตส่วนเกินในระบบเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มดังกล่าวยังตั้งอยู่บนสมมติฐานที่เปราะบาง โดยเฉพาะหากสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ตัดสินใจเดินหน้าเก็บภาษีนำเข้ารอบใหม่ ซึ่งจะกระทบการลงทุนและการส่งออกของแคนาดาโดยตรง

การผ่อนคลายนโยบายการเงินที่เกิดขึ้นช่วยกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนในประเทศ โดยการใช้จ่ายต่อหัวของครัวเรือนมีแนวโน้มฟื้นตัว ขณะที่รายได้และความมั่งคั่งของประชาชนดีขึ้นจากราคาบ้านที่สูงขึ้น รวมถึงมาตรการภาครัฐที่สนับสนุนการบริโภคในช่วงต้นปี 2025 อย่างไรก็ตาม การเติบโตของประชากรที่ชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญจากนโยบายจำกัดผู้อพยพใหม่ ส่งผลให้แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจจากฝั่งอุปสงค์และแรงงานลดลงเช่นกัน

มาร์ค คาร์นีย์ในฐานะอดีตผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษและแคนาดา ย่อมเข้าใจกลไกเศรษฐกิจและตลาดการเงินเป็นอย่างดี แต่ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับสหรัฐฯ คาร์นีย์กำลังเผชิญกับศึกหนักที่สุดนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง การจัดการความสัมพันธ์กับประธานาธิบดีทรัมป์ถือเป็นภารกิจเร่งด่วนอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะในประเด็นการค้า หลังจากที่ทรัมป์เคยประกาศใช้มาตรการภาษีกับเหล็ก อะลูมิเนียม และภาคยานยนต์ของแคนาดา และอาจขยายขอบเขตไปยังระบบภาษีดิจิทัลและสินค้าเกษตร

ขณะที่ความสัมพันธ์ด้านการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่ค้าหลักของแคนาดาเริ่มสั่นคลอน เสียงเรียกร้องให้หันไปกระจายความเสี่ยงและมุ่งขยายความร่วมมือทางการค้ากับประเทศอื่นๆ จึงเริ่มดังขึ้น ปัจจุบันแคนาดามีข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่าง ๆ ถึง 15 ฉบับ ทั้งกับยุโรป (CETA) และกลุ่มเอเชียแปซิฟิก (CPTPP) อย่างไรก็ตาม การเจาะตลาดใหม่ต้องอาศัยเวลาและนโยบายเชิงรุกจากรัฐบาลใหม่

อีกหนึ่งสมรภูมิสำคัญคือภาคพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ ท่ามกลางเสียงสนับสนุนโครงการท่อส่งน้ำมันสายใหม่ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันตกของประเทศ ซึ่งต้องการเห็นการเร่งรัดกระบวนการอนุมัติโครงการพลังงานอย่างจริงจัง รัฐบาลคาร์นีย์จึงต้องเดินสายละเอียดระหว่างการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงต้องรับมือกับแรงกดดันจากผู้นำท้องถิ่นอย่างนายกฯ อัลเบอร์ตา ที่เรียกร้องให้ยกเลิกเพดานปล่อยคาร์บอนของอุตสาหกรรมพลังงาน

แม้เศรษฐกิจจะมีแนวโน้มฟื้นตัวเล็กน้อย แต่ตลาดแรงงานยังคงอ่อนแรง โดยในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีการสูญเสียงานกว่า 33,000 ตำแหน่ง อัตราการว่างงานพุ่งขึ้นเป็น 6.7% และยังไม่มีปัจจัยบวกชัดเจนที่จะดึงตลาดที่อยู่อาศัยให้กลับมาฟื้นตัวตามคาดในปี 2025 อีกทั้ง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการลงทุนของภาคธุรกิจยังคงถูกบั่นทอนจากความไม่แน่นอนด้านการค้า

ในด้านการคลัง คาร์นีย์ต้องรักษาสมดุลที่เปราะบาง ระหว่างแรงกดดันให้ใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ กับภารกิจควบคุมหนี้สาธารณะให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืน แม้ว่าแคนาดาจะยังคงมีอันดับความน่าเชื่อถือ AAA และอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ยังอยู่ในระดับดีเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ แต่เหตุการณ์ในสหราชอาณาจักรเมื่อปี 2022 ที่นายกฯ ลิซ ทรัส ต้องลาออกจากตำแหน่งเพราะตลาดพันธบัตรปั่นป่วนจากแผนงบประมาณเสรี ก็เป็นบทเรียนสำคัญที่แคนาดาไม่อาจมองข้าม

ท้ายที่สุด ความท้าทายของมาร์ค คาร์นีย์ ไม่ได้อยู่ที่แค่การบริหารตัวเลขเศรษฐกิจ แต่คือการรักษาความเชื่อมั่นของประชาชน พันธมิตรทางการค้า และตลาดการเงินให้ยังคงมั่นใจว่า แคนาดายังเป็นเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ มั่นคง และพร้อมปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้อย่างไม่สะดุด