หลังจากดำรงตำแหน่งครบ 100 วันเต็ม สื่อต่างประเทศรายงานว่า ดูเหมือนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังส่งสัญญาณว่าพร้อมจะถอยในประเด็น "ภาษีตอบโต้" ที่เคยจุดชนวนความขัดแย้งทางการค้าไปทั่วโลก แม้จะยังไม่มีคำยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่ความเคลื่อนไหวล่าสุดจากทั้งสหรัฐฯ และพันธมิตรสำคัญต่างสะท้อนถึงกระแสความไม่พอใจที่ก่อตัวขึ้นจนยากจะมองข้ามได้
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา บรรยากาศในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มีความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ตั้งแต่การเปิดตัว "ภาษีตอบโต้" จากทำเนียบขาว ซึ่งสร้างความโกลาหลให้กับตลาดการเงินโลก จนกระทั่งการประชุม IMF, G7 และ G20 ที่จัดขึ้นเพื่อหาทางประคับประคองเศรษฐกิจโลก ท่ามกลางความกังวลจากประเทศต่างๆ ที่มองว่าสหรัฐฯ กำลังลากโลกเข้าสู่วิกฤตครั้งใหม่
เสียงสะท้อนจากประเทศในเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะญี่ปุ่น ที่รู้สึกถูกหักหลังจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ดังกล่าว เริ่มปรากฏชัดเจน รัฐมนตรีการคลังญี่ปุ่นถึงกับวิพากษ์ว่า "น่าผิดหวังอย่างยิ่ง" และเตือนว่าภาษีเหล่านี้กำลังทำลายการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพของตลาดการเงิน
ขณะเดียวกัน ความปั่นป่วนในตลาดพันธบัตรของสหรัฐฯ ได้กดดันให้ทีมเศรษฐกิจของทรัมป์ โดยเฉพาะรัฐมนตรีคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ ต้องเข้าควบคุมสถานการณ์เร่งด่วน จนถึงขั้น "ล่อหลอก" ที่ปรึกษานโยบายภาษีสายแข็งอย่าง ปีเตอร์ นาวาร์โร ออกจากทำเนียบขาวชั่วคราว เพื่อเปิดทางให้เบสเซนต์เจรจากับประธานาธิบดีโดยตรง
แม้จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม แต่แหล่งข่าวรายงานว่า ภายในทีมเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มีการชะลอการเก็บภาษีเพิ่มเติมออกไป 90 วัน และเริ่มมีการยื่น "กิ่งมะกอก" ต่อจีน ทั้งในรูปแบบการยอมรับความสำเร็จทางเศรษฐกิจของจีน และข้อเสนอให้เจรจาเพื่อสร้าง "สมดุลที่สวยงาม" ของเศรษฐกิจโลก
ทว่า ความพยายามดังกล่าวยังไม่ได้รับการตอบรับที่ชัดเจนจากจีน ล่าสุด จีนได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า หากสหรัฐฯ จริงใจต้องการเจรจา จำเป็นต้องยกเลิกภาษีที่ประกาศใช้ฝ่ายเดียวเสียก่อน พร้อมปฏิเสธข่าวการเจรจาที่ฝ่ายสหรัฐฯ อ้างว่ากำลังดำเนินอยู่ และย้ำว่าการเจรจาใดๆ ยังไม่เกิดขึ้น
ในภาวะที่สงครามการค้าระหว่างสองประเทศใหญ่ทวีความรุนแรง โดยสหรัฐฯ ปรับภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงสุดถึง 145% และจีนตอบโต้ด้วยภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ สูงสุด 125% ความเสียหายเริ่มลุกลามไปยังบริษัทเอกชน เช่น กรณี Boeing ที่จีนส่งเครื่องบินที่สั่งซื้อแล้วกลับคืนมา เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่สะเทือนทั้งอุตสาหกรรม
นอกจากประเด็นจีน ตลาดยังจับตาการหดตัวของปริมาณการขนส่งสินค้าทางเรือจากจีนมายังท่าเรือลอสแองเจลิส ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจโลก สัญญาณจากดาวเทียมยืนยันว่า จำนวนเรือที่แล่นออกจากท่าเรือจีนลดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าฝ่ายสหรัฐฯ จะพยายามปฏิเสธข้อมูลนี้
ในอีกด้านหนึ่ง ความไม่แน่นอนของนโยบายสหรัฐฯ กำลังสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดระแวงในระดับโลก หลายธนาคารกลางเริ่มตั้งสมมติฐานว่า หากวิกฤตลุกลาม สหรัฐฯ อาจใช้อำนาจเหนือ "สายด่วนเงินดอลลาร์" (Dollar Swap Lines) เป็นเครื่องมือต่อรองทางการทูต หรืออาจมีการจัดเก็บภาษีพิเศษจากประเทศที่ถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก ซึ่งล้วนแต่เป็นแนวคิดที่สร้างความไม่สบายใจ แม้จะยังไม่เกิดขึ้นจริง
แม้รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ จะพยายามปลอบขวัญนักลงทุนว่า "ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ยังปลอดภัยที่สุดในโลก" แต่เมื่อถึงจุดที่ต้องพูดประโยคนี้ซ้ำๆ ก็ยิ่งสะท้อนความเปราะบางที่แฝงอยู่
สำหรับสหราชอาณาจักร แม้ว่าจะพยายามรักษาความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ แต่ก็ยอมรับว่าความสัมพันธ์ทางการค้ากับยุโรปมีความสำคัญมากขึ้น สะท้อนทิศทางใหม่หลัง Brexit ที่อังกฤษกำลังพยายามทำข้อตกลงการค้าเชิงลึกกับสหภาพยุโรปแทนที่จะพึ่งพาสหรัฐฯ เพียงฝ่ายเดียว
อย่างไรก็ดี ยังมีสัญญาณบวกเล็กน้อย เมื่อสหรัฐฯ แสดงจุดยืนว่าจะยังคงอยู่ในองค์กรระหว่างประเทศอย่าง IMF และ World Bank แม้ว่าจะเรียกร้องให้เน้นบทบาทด้านเศรษฐกิจและการเงินอย่างแท้จริง มากกว่าประเด็นสังคมหรือสิ่งแวดล้อมก็ตาม