ท่ามกลางความตึงเครียดทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและสหรัฐฯ แนวหน้าที่งัดข้อกันครั้งนี้ไม่ใช่เพียงนักการเมืองหรือผู้นำระดับสูงอีกต่อไป แต่รวมไปถึงประชาชนคนธรรมดาและนักลงทุนรายย่อยในจีน ที่พร้อมใจกันลุกขึ้นมาถือปากกาเซ็นคำสั่ง “ซื้อหุ้น” แทนอาวุธ เพื่อปกป้องเศรษฐกิจของชาติ
รอยเตอร์รายงานว่า คลื่นลูกใหม่ของนักลงทุนรายย่อยในจีนกำลังเข้าร่วมในกลุ่มที่เรียกว่า “ทีมชาติ” ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอย่างชัดเจน เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่แค่กำไร แต่คือการฟื้นฟูความเชื่อมั่นในตลาดทุนจีน ที่กำลังเผชิญแรงสั่นสะเทือนจากมาตรการภาษีและแรงกดดันจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นภาษีสินค้าจีนในอัตราที่สูงลิบลิ่ว
ภาพที่เกิดขึ้นขณะนี้คือ “การลงทุนเพื่อชาติ” อย่างเต็มรูปแบบ นักลงทุนต่างเทเงินเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญ เช่น กลุ่มป้องกันประเทศ สินค้าอุปโภคบริโภค และเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนความพยายามของชาติ บางรายถึงกับเปิดบัญชีหุ้นครั้งแรกเพียงเพื่อเข้าร่วมภารกิจนี้ เช่น ผู้ที่ไม่เคยลงทุนในหุ้นมาก่อน แต่กลับตัดสินใจเริ่มต้นซื้อหุ้นด้วยเงินเดือนละ 2,000 หยวน ด้วยความตั้งใจ “ช่วยชาติ”
กระแสนี้ไม่เพียงหยุดอยู่ที่รายย่อย แต่ยังขยายไปถึงสถาบันการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทจดทะเบียนที่ต่างก็ประกาศแผนซื้อหุ้นคืน สะท้อนความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมเพื่อพยุงตลาดที่ทรุดตัวลงกว่า 7% ภายในวันเดียวเมื่อวันที่ 7 เมษายน หลังคำขู่ของทรัมป์
ข้อมูลจาก Datayes เผยว่า นับตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน มีเงินทุนไหลเข้าสุทธิจากนักลงทุนรายย่อยรวมถึง 45,000 ล้านหยวน ซึ่งถือเป็นการกลับทิศจากช่วงก่อนหน้าที่ตลาดหุ้นจีนเผชิญกับเงินไหลออกถึง 91,800 ล้านหยวนภายในเวลาเพียง 6 วันทำการ
ไม่เพียงแค่แรงซื้อเท่านั้นที่กำลังเกิดขึ้น แต่ความรู้สึก “ภาคภูมิใจในชาติ” ก็ชัดเจนขึ้นในหมู่นักลงทุน เช่น ครูจากมณฑลเจียงซู ที่กล่าวว่าจะไม่ขายหุ้นจีนแม้จะขาดทุน และยังคว่ำบาตรแบรนด์อเมริกันอย่าง Starbucks และ Nike เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีในสงครามการค้า ขณะเดียวกัน นักกลยุทธ์จาก UBS Securities ก็ชี้ว่า ตลาด A-share ของจีนไม่ได้มีความหมายแค่ในเชิงเศรษฐกิจเท่านั้น แต่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ ที่สะท้อนความมั่นใจและความเป็นปึกแผ่นของชาติ
นักลงทุนบางรายก็เลือกลงทุนทั้งหมดที่มีในหุ้นกลุ่มเกษตร พลังงาน การเงิน และการป้องกันประเทศ เพราะ “นี่ไม่ใช่แค่การจัดพอร์ตลงทุน แต่คือการเดิมพันกับชะตากรรมของประเทศ” ส่วนบางรายก็เทพอร์ตมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ทั้งหมดไปยังหุ้นจีน โดยไม่ลังเล
นอกจากนั้น นักลงทุนรายใหญ่ที่ถือหุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคและความมั่นคงรวมกว่า 3 ล้านหยวน และยังมีเงินสดสำรองอีก 7 ล้านหยวน ก็ยืนยันว่าจะใส่เงินเพิ่ม แม้จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงขาดทุนก็ตาม
แรงบันดาลใจในการลงทุนนี้ยังลามไปถึงภาคธุรกิจอย่างเจ้าของร้านอาหารที่ลงทุนไปแล้วหลายร้อยล้านหยวน พร้อมชื่นชมมาตรการของยักษ์ค้าปลีกจีนอย่าง JD.com และ CR Vanguard ที่พยายามส่งเสริมให้ผู้ส่งออกหันมาทำตลาดภายในประเทศให้มากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐ
“ทีมชาติ” และนักลงทุนต่างก็มีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการปกป้องเสถียรภาพตลาดหุ้น และยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมที่จีนต้องการเป็นผู้นำ โดยเฉพาะด้านเซมิคอนดักเตอร์และการผลิตในประเทศ ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์หลีกเลี่ยงการพึ่งพาต่างชาติ
หุ้นในกลุ่มเหล่านี้ทยอยฟื้นตัวขึ้นอย่างโดดเด่น แม้ตลาดโดยรวมจะยังอยู่ในช่วงขาลง โดยเฉพาะ ETF หรือกองทุนรวมดัชนี ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนจีน ได้รับเงินไหลเข้ากว่า 230,000 ล้านหยวน นับตั้งแต่ตลาดร่วงในวันที่ 7 เมษายน และทำให้ขนาดของตลาด ETF ของจีนทะลุ 4 ล้านล้านหยวนเป็นครั้งแรก แม้ข้อมูลจะไม่ได้เปิดเผยสัดส่วนว่าเป็นเงินจากนักลงทุนรายย่อยหรือสถาบัน
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า “การซื้อหุ้น” กำลังกลายเป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ใหม่ของจีน ในการตอบโต้แรงกดดันจากสหรัฐฯ โดยไม่ต้องใช้อาวุธหรือกำลังทหาร ท่ามกลางการปะทะที่ไม่มีเสียงระเบิด แต่สะเทือนถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของโลกใบนี้อย่างไม่อาจมองข้าม.