ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ ที่ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนได้เดินหน้าทูตเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนอย่างเข้มข้น โดยเลือกเยือน 3 ประเทศสำคัญในอาเซียน ได้แก่ เวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา เพื่อกระชับความสัมพันธ์และผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจในหลากหลายมิติ โดยเฉพาะการเร่งเจรจายกระดับเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน (China-ASEAN Free Trade Area) ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์สำคัญของจีนในการรับมือกับแรงกดดันทางการค้าจากสหรัฐฯ
การเยือนเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชาของ ประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง ในช่วงกลางเดือนเมษายน 2568 นี้ ไม่ใช่เพียงการเยือนตามพิธีการทางการทูต แต่ถือเป็นการวางยุทธศาสตร์สำคัญของจีนในการสู้ศึกสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ด้วยการทุ่มเทความพยายามกระชับความสัมพันธ์กับประเทศอาเซียนในฐานะพันธมิตรทางเศรษฐกิจและการเมืองของจีน
จีนและอาเซียนต้องร่วมกันต่อต้านการแยกตัว การขัดขวางห่วงโซ่อุปทาน แนวคิด ‘รั้วสูง ลานแคบ’ และการใช้ภาษีมาเป็นเครื่องมือกีดกันทางการค้า ด้วยความเปิดกว้าง ความครอบคลุม ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และความร่วมมือ
สี จิ้นผิง กล่าวระหว่างการพบปะกับนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิมของมาเลเซีย
คำกล่าวนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนถึงจุดยืนของจีนที่ต้องการตอบโต้นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
การเยือนเวียดนามถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของทริปการทูตครั้งนี้ โดยในปีนี้เป็นโอกาสครบรอบ 75 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและเวียดนาม สี จิ้นผิง และ โต ลาม เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ได้ย้ำถึงความสำคัญของการสร้าง ประชาคมจีน-เวียดนามที่มีอนาคตร่วมกัน
การสร้างประชาคมจีน-เวียดนามที่มีอนาคตร่วมกันมีความสำคัญระดับโลก
สี กล่าว โดยชี้ให้เห็นว่าในขณะที่ทั้งสองประเทศร่วมกันแสวงหาการพัฒนาอย่างสันติ ประชากรรวมกันกว่า 1.5 พันล้านคนกำลังมุ่งสู่ความทันสมัยร่วมกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาคและโลก พร้อมทั้งส่งเสริมการพัฒนาร่วมกัน
ในมาเลเซีย สี จิ้นผิง ได้เสนอแนวทาง 3 ประการในการสร้าง “ประชาคมจีน-มาเลเซียที่มีอนาคตร่วมกันในระดับยุทธศาสตร์สูง” โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการยึดมั่นในความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์ การสร้างพลังร่วมเพื่อการพัฒนา และการสืบทอดมิตรภาพจากรุ่นสู่รุ่น
กัมพูชา ซึ่งเป็นจุดหมายสุดท้ายของการเยือนครั้งนี้ สี ได้เขียนบทความลงในสื่อกัมพูชาล่วงหน้าก่อนการเยือน โดยกล่าวถึงรากฐานความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ระหว่างสองประเทศที่ยาวนานกว่าสองพันปี และเน้นย้ำว่า “ประชาคมจีน-กัมพูชาที่มีอนาคตร่วมกัน” ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมและผลประโยชน์ร่วมกัน
หนึ่งในประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากการเยือนครั้งนี้คือการผลักดันการลงนามในพิธีสารว่าด้วยการยกระดับเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน (China-ASEAN Free Trade Area Upgrade Protocol) ในโอกาสแรก ซึ่งเป็นความพยายามของจีนในการเพิ่มปริมาณการค้าและการลงทุนกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน
สี จิ้นผิง กล่าวระหว่างการพบปะกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียว่า จีนพร้อมที่จะร่วมมือกับมาเลเซียและประเทศในภูมิภาคเพื่อเร่งลงนามในพิธีสารว่าด้วยการยกระดับเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียนโดยเร็ว
ในการเจรจากับมาเลเซีย ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในเอกสารความร่วมมือมากกว่า 30 ฉบับ ครอบคลุมความร่วมมือในด้านต่างๆ อาทิ เศรษฐกิจดิจิทัล การค้าบริการ การยกระดับโครงการ “สองประเทศ สองอุทยานอุตสาหกรรม” ห้องปฏิบัติการร่วม ปัญญาประดิษฐ์ ทางรถไฟ ทรัพย์สินทางปัญญา การส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรไปยังจีน และการยกเว้นวีซ่าระหว่างกัน
นอกจากนี้ สี จิ้นผิง ยังได้ผลักดันการพัฒนาการขนส่งทางรางและทางทะเลแบบบูรณาการ การยกระดับโครงการ “สองประเทศ สองอุทยานอุตสาหกรรม” และการยกระดับท่าเรือสำคัญของมาเลเซียให้เป็นศูนย์กลางสำคัญของแนวระเบียงการค้าทางบกและทางทะเลระหว่างประเทศแนวใหม่
จีนยังเน้นการส่งเสริมความร่วมมือในการเจรจาอารยธรรมขงจื๊อ-อิสลาม เพื่อร่วมกันสร้างแพลตฟอร์มสำหรับการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมทั้งในระดับทวิภาคีและระดับภูมิภาค นอกจากนี้ ด้วยข้อตกลงการยกเว้นวีซ่าระหว่างกัน ทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมการท่องเที่ยว การแลกเปลี่ยนเยาวชน และการแลกเปลี่ยนระดับท้องถิ่นอย่างแข็งขัน
ขณะที่การเจรจากับผู้นำเวียดนาม สี จิ้นผิง เรียกร้องให้ทั้งสองประเทศใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ในการเชื่อมต่อทั้งทางบกและทางทะเล เสริมสร้างความสอดคล้องของยุทธศาสตร์การพัฒนา และเจาะลึกศักยภาพของความร่วมมือทางอุตสาหกรรม
รวมทั้งยังเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศ ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าในความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เสริมสร้างการเชื่อมต่อ และรับประกันการไหลเวียนของการค้าอย่างราบรื่น
ในเวียดนามปีนี้ถูกกำหนดให้เป็น ปีแห่งการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนจีน-เวียดนาม สี จิ้นผิง ได้ประกาศว่าในอีกสามปีข้างหน้า จีนจะเชิญเยาวชนเวียดนามไปเยือนจีนสำหรับ “การทัศนศึกษาแดง” เพื่อช่วยให้คนรุ่นใหม่ของทั้งสองประเทศเข้าใจถึงลักษณะที่ยากลำบากของประเทศสังคมนิยมและคุณค่าอันยิ่งใหญ่ของความสัมพันธ์ฉันเพื่อนบ้านที่ดีและความร่วมมือฉันมิตรระหว่างจีนและเวียดนาม
ในบริบทของความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างจีนและอาเซียนถือเป็นกลยุทธ์สำคัญของจีนในการรับมือกับแรงกดดันจากภายนอก
อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน ได้ย้ำว่า อาเซียนจะไม่สนับสนุนการเรียกเก็บภาษีศุลกากรที่กำหนดขึ้นฝ่ายเดียว และจะส่งเสริมความก้าวหน้าร่วมกันผ่านความร่วมมือเพื่อรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ในฐานะประธานอาเซียนและผู้ประสานงานความสัมพันธ์เจรจาอาเซียน-จีน มาเลเซียจะทำงานเพื่อเสริมสร้างความร่วมมืออาเซียน-จีนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาค
การเยือน 3 ประเทศในอาเซียนของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของภูมิภาคนี้ในยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจและการเมืองของจีน โดยเฉพาะในบริบทของสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ด้วยการยกระดับเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและความเชื่อมโยง และสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันกับประเทศในอาเซียน ไม่เพียงแต่เป็นการตอบโต้ต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำหรับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเมืองในระยะยาว