จีนไม่ยอม! ฟาดภาษีสหรัฐฯ พุ่ง 84% สวนกลับทรัมป์ ย้ำจุดยืน “สู้ถึงที่สุด”

09 เม.ย. 2568 | 12:23 น.
อัปเดตล่าสุด :09 เม.ย. 2568 | 12:23 น.


จีนไม่ยอม! ประกาศขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ แตะ 84% ตอบโต้ "ทรัมป์" พร้อมขึ้นบัญชีดำบริษัทอเมริกัน ลั่นสู้ยืดเยื้อ หากสหรัฐฯ ไม่ถอย

ล่าสุดรัฐบาลจีนประกาศเดินหน้าเก็บภาษีตอบโต้สินค้าจากสหรัฐอเมริกาสูงถึง 84% จากเดิมที่ตั้งไว้ 34% ซึ่งถือเป็นการขยับครั้งใหญ่ท่ามกลางความตึงเครียดทางเศรษฐกิจที่ยืดเยื้อ หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ตัดสินใจเพิ่มภาษีต่อสินค้าจีนเป็น 104% พร้อมเก็บภาษีแบบ “Reciprocal” หรือภาษีแบบตอบโต้กับหลายประเทศทั่วโลก

การประกาศมาตรการภาษีรอบล่าสุดของจีน มีผลตั้งแต่วันพฤหัสบดีนี้ โดยกระทรวงการคลังของจีนเผยแพร่ข้อมูลผ่านรายการข่าวภาคค่ำของสถานีโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CCTV) ระบุว่า นอกจากการเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้น จีนยังขึ้นบัญชีดำบริษัทสัญชาติอเมริกัน 6 แห่งใน “บัญชีนิติบุคคลไม่น่าเชื่อถือ” และเพิ่มอีก 12 บริษัทลงใน “บัญชีควบคุมการส่งออก” ซึ่งหมายความว่า บริษัทจีนจะไม่สามารถทำธุรกิจกับบริษัทเหล่านี้ได้อีกต่อไป

มาตรการนี้เกิดขึ้นหลังจากทรัมป์เดินหน้าขึ้นภาษีแบบกวาดล้าง ตั้งแต่สินค้าจีนไปจนถึงพันธมิตรทางการค้าทั่วโลก เช่น สหภาพยุโรปและแคนาดา ซึ่งทำให้สหภาพยุโรปเองเตรียมตอบโต้เช่นกัน โดยแหล่งข่าวระบุว่าบรรดาประเทศสมาชิกเตรียมอนุมัติมาตรการภาษีตอบโต้ในเร็ววันนี้ ขณะที่บางประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเวียดนาม เลือกแนวทางเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ แทนที่จะตอบโต้แบบแข็งกร้าวเหมือนจีน

กระทรวงพาณิชย์จีนระบุในเอกสารสมุดปกขาวว่า การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ นั้น “ไร้ประสิทธิภาพ” และ “ย้อนศรผลประโยชน์ของตัวเอง” โดยเตือนว่าผลกระทบจะสะเทือนต่อระบบการเงินและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เอง ทั้งในการดันอัตราเงินเฟ้อให้สูงขึ้น ทำลายฐานการผลิตภายในประเทศ และเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ พร้อมย้ำว่านโยบายภาษีลักษณะนี้ “ไม่สามารถแก้ปัญหาภายในของสหรัฐฯ ได้” และในระยะยาวจะส่งผลกลับในทางลบต่อเศรษฐกิจของตนเอง

นอกจากนี้ จีนยังยืนกรานว่าความสัมพันธ์ทางการค้าไม่ได้เสียสมดุลตามที่สหรัฐฯ กล่าวอ้าง โดยหากนับรวมรายได้จากการให้บริการและผลกำไรของบริษัทอเมริกันที่ดำเนินธุรกิจในจีนแล้ว ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศถือว่า “มีความสมดุลโดยรวม”

ท่าทีแข็งกร้าวของจีนในครั้งนี้ ไม่ได้มาแบบไร้สัญญาณล่วงหน้า ก่อนหน้านี้มีรายงานจาก Reuters ว่าธนาคารกลางของจีนได้สั่งให้ธนาคารของรัฐลดการซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมทั้งควบคุมไม่ให้ค่าเงินหยวนผันผวนอย่างรุนแรง ซึ่งสะท้อนว่าจีนเตรียมความพร้อมทั้งในด้านนโยบายการค้าและเสถียรภาพทางการเงินเพื่อรองรับความยืดเยื้อของสถานการณ์นี้

ขณะเดียวกันตลาดการเงินทั่วโลกได้รับแรงกระแทกอย่างหนักจากภาษีรอบใหม่ของทรัมป์ ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ ทรุดหนักที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีดัชนีนี้ในทศวรรษ 1950 และขณะนี้ใกล้เข้าสู่ภาวะตลาดหมี ซึ่งหมายถึงการลดลงเกิน 20% จากจุดสูงสุดล่าสุด พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ไม่รอดจากแรงขายอย่างหนัก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าบรรดานักลงทุนกำลังตื่นตระหนกและเทขายแม้กระทั่งสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลหลักอื่นๆ และตลาดหุ้นยุโรปกับฟิวเจอร์สของสหรัฐฯ ต่างก็ส่งสัญญาณเชิงลบต่อไปอีก

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์กลับแสดงท่าทีไม่หวั่นไหวต่อแรงกระเพื่อมในตลาด โดยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ภาษีเหล่านี้ “ถาวร” แต่ในขณะเดียวกันก็กล่าวว่า มาตรการเหล่านี้กดดันให้ผู้นำประเทศอื่นๆ ต้องมาขอเจรจาด้วย

กระทรวงต่างประเทศของจีน โดยโฆษก หลิน เจี้ยน (Lin Jian) ก็แถลงตอบโต้ในทำนองเดียวกันว่า จีนจะเดินหน้าตอบโต้ “อย่างเด็ดขาดและรุนแรง” หากสหรัฐฯ ไม่ยุติการใช้นโยบายภาษีเพื่อกดดันฝ่ายอื่น พร้อมประณามพฤติกรรมของรัฐบาลวอชิงตันว่าเป็น “การใช้นโยบายฝ่ายเดียว ลัทธิคุ้มครองทางการค้า และการกลั่นแกล้งทางเศรษฐกิจ” ซึ่งเป็นถ้อยคำในเอกสารทางการที่จัดทำโดยสำนักงานสารนิเทศแห่งคณะรัฐมนตรีจีน (State Council Information Office)

สงครามการค้ารอบนี้จึงไม่ใช่แค่ตัวเลขภาษีหรือการตอบโต้รายประเทศเท่านั้น หากแต่เป็นการวางเดิมพันทางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจระหว่างสองขั้วอำนาจ ที่ไม่เพียงกระทบต่อคู่ขัดแย้งโดยตรง แต่ยังเขย่าระบบการค้าโลกให้เปราะบางลงอีกขั้น และยังไม่มีสัญญาณว่าจะจบลงได้ในเร็ววัน