ท่ามกลางกระแสความตึงเครียดในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง ประเด็นร้อนที่ถูกจับตาในสัปดาห์นี้คือความเป็นไปได้ที่จีนอาจใช้มาตรการตอบโต้ด้วยการ “แบนภาพยนตร์ฮอลลีวูด” ซึ่งจะเป็นการยกระดับข้อพิพาททางการค้าไปสู่แนวหน้าด้านวัฒนธรรมและความบันเทิง
ต้นตอของกระแสดังกล่าวเริ่มต้นจากการเปิดเผยโดยบล็อกเกอร์ชาวจีนผู้ทรงอิทธิพลสองราย ได้แก่ หลิว หง บรรณาธิการอาวุโสของสำนักข่าวซินหัว และ เหริน อี้ หลานชายของอดีตผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์แห่งมณฑลกวางตุ้ง ทั้งสองรายได้โพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดียเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เปิดเผยชุดมาตรการตอบโต้ที่รัฐบาลจีนกำลังพิจารณาอย่างใกล้ชิด หนึ่งในนั้นคือ การจำกัดหรือระงับการนำเข้าภาพยนตร์จากสหรัฐฯ รวมถึงการเพิ่มภาษีสินค้าเกษตรและบริการจากอเมริกา
สัญญาณตอบโต้ของจีนมีขึ้นหลังจากที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นอย่างน้อย 104% โดยเริ่มมีผลในวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2568 หากจีนไม่ถอนมาตรการภาษีตอบโต้ที่เพิ่งประกาศไว้ก่อนหน้านี้ 34% ทรัมป์ยังระบุชัดเจนผ่านโพสต์ใน Truth Social ว่าหากจีนไม่ยอมถอย สหรัฐฯ จะยุติการเจรจาในทุกมิติทันที
กระทรวงพาณิชย์ของจีนแถลงตอบโต้ทันควันเมื่อวันอังคาร โดยวิจารณ์ว่าการข่มขู่ด้วยภาษีเพิ่มเติมของสหรัฐฯ เป็น “ความผิดพลาดซ้ำซ้อน” พร้อมย้ำว่าจีนจะไม่ยอมอ่อนข้อและ “จะสู้จนถึงที่สุด”
ในประเด็นเรื่องการแบนภาพยนตร์ฮอลลีวูด โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน หลิน เจี้ยน กล่าวว่า “เราไม่ให้ความเห็นต่อคำพูดบนโลกออนไลน์ แต่จุดยืนของจีนชัดเจน จีนจะดำเนินมาตรการอย่างมั่นคงเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของเราอย่างถูกต้องตามกฎหมาย”
การแบนภาพยนตร์จากสหรัฐฯ หากเกิดขึ้นจริง จะส่งแรงกระแทกครั้งใหญ่ต่ออุตสาหกรรมบันเทิงฮอลลีวูด ซึ่งปัจจุบันกำลังเผชิญภาวะขาดทุนจากหลายปัจจัย ทั้งหนี้สะสมจากการควบรวมกิจการ ผลกระทบจากโควิด-19 การหยุดงานประท้วงของแรงงานในวงการภาพยนตร์ และการทุ่มทุนมหาศาลในการสร้างคอนเทนต์สตรีมมิ่งเพื่อต่อกรกับ Netflix
แม้ที่ผ่านมา จีนเคยเป็นตลาดทองของภาพยนตร์ฮอลลีวูด โดยสตูดิโอยักษ์ใหญ่หลายแห่งปรับเนื้อหาหนังให้สอดคล้องกับความต้องการของจีนเพื่อให้ผ่านการพิจารณา เช่น การลบสัญลักษณ์ทางการเมือง หรือเปลี่ยนฉากเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น การตัดธงชาติไต้หวันออกจากเสื้อแจ็กเก็ตของตัวละครใน “Top Gun: Maverick” หรือการลบฉากวายร้ายชาวจีนใน “Red Dawn” เวอร์ชันรีเมกปี 2011
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฮอลลีวูดเริ่มสูญเสียพื้นที่ในตลาดจีนอย่างชัดเจน เนื่องจากรัฐบาลจีนสนับสนุนภาพยนตร์ภายในประเทศมากขึ้น ทั้งในแง่งบประมาณ โปรดักชัน และช่วงเวลาฉายที่เป็นต่อ ล่าสุด ภาพยนตร์จีน “Ne Zha 2” สามารถทำรายได้กว่า 2 พันล้านหยวน และกลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดในประเทศ
ถึงแม้ฮอลลีวูดยังมีผลงานบ้างที่ประสบความสำเร็จ เช่น “Godzilla x Kong: The New Empire” ซึ่งทำรายได้ 132 ล้านดอลลาร์ในจีน หรือ “A Minecraft Movie” ที่เพิ่งเปิดตัวไปด้วยรายได้ 15 ล้านดอลลาร์ แต่รายได้เหล่านี้ยังถือเป็นเพียงเศษเสี้ยวเมื่อเทียบกับอดีตที่เคยทำรายได้หลายร้อยล้านดอลลาร์ต่อเรื่อง
หากจีนเดินหน้าแบนภาพยนตร์จากฮอลลีวูดจริง อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อผู้ผลิตภาพยนตร์สหรัฐฯ ที่เคยพึ่งพารายได้จากตลาดจีนอย่างหนัก แม้ในปัจจุบันจะมีการปรับตัวโดยไม่รวมรายได้จากจีนไว้ในแผนการเงินหลักแล้วก็ตาม
นักวิเคราะห์มองว่า แม้จีนจะไม่ประกาศแบนทั้งหมดโดยตรง แต่อาจใช้วิธีชะลอการอนุมัติภาพยนตร์จากต่างประเทศหรือไม่ส่งเสริมภาพยนตร์จากฮอลลีวูดเท่าที่เคย นอกจากนี้ ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่าการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์อาจทำให้การถ่ายทำภาพยนตร์ในต่างประเทศมีต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลดีต่อการดึงการผลิตกลับสู่สหรัฐฯ แม้จะต้องแลกกับต้นทุนแรงงานที่สูงโดยเฉพาะในลอสแอนเจลิส
ในอีกด้านหนึ่ง ผลกระทบจากมาตรการภาษีของทรัมป์อาจกระเทือนวงกว้างในตลาดการเงินและภาคบันเทิง โดยเฉพาะบริษัทที่มีหนี้สินสูง เช่น Walt Disney Co. และ Warner Bros. Discovery ซึ่งหุ้นร่วงลงอย่างหนัก นักลงทุนกังวลถึงภาวะเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อ การชะลอตัวของเศรษฐกิจ และการตัดงบโฆษณาในสื่อโทรทัศน์ที่อาจตามมา
ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าครั้งใหม่นี้ยังลามถึงดีลข้ามชาติ เช่น การขายกิจการ TikTok จาก ByteDance ให้กับนักลงทุนอเมริกันที่ถูกชะลอไปโดยรัฐบาลสหรัฐฯ
ทั้งหมดนี้ตอกย้ำให้เห็นว่า สงครามการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจโลก กำลังกลายเป็นมหากาพย์ที่ไม่เพียงกระทบการค้า แต่ยังส่งแรงสั่นสะเทือนไปถึงวัฒนธรรม ธุรกิจบันเทิง และชีวิตประจำวันของผู้คนในระดับโลกอีกครั้งอย่างชัดเจน
อ้างอิง: LA Times, Hollywoodreporter, Independent