การเผชิญหน้าระหว่างประธานาธิบดียูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกี และประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ในทำเนียบขาวได้กลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่ส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก การเจรจาที่ควรเป็นการยืนยันถึงพันธมิตรที่แน่นแฟ้น กลับกลายเป็นการปะทะทางการทูตที่ตึงเครียดอย่างหนัก สร้างความกังวลถึงอนาคตของยูเครนในสงครามกับรัสเซีย-ยูเครน และบทบาทของสหรัฐฯ ในความขัดแย้งนี้
การเจรจาเริ่มต้นขึ้นโดยเซเลนสกีแสดงความขอบคุณต่อสหรัฐฯ สำหรับความช่วยเหลือที่ให้กับยูเครนมาตลอดสามปีที่ผ่านมา แต่ในขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้วอชิงตันยังคงให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง โดยฝั่งทรัมป์กล่าวหาว่ายูเครนไม่ได้ให้ความเคารพต่อสหรัฐฯ และตั้งคำถามถึงการใช้ความช่วยเหลือที่สหรัฐฯ มอบให้
สื่อต่างประเทศรายงานว่า สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ร้อนระอุขึ้นไปอีก คือคำกล่าวของทรัมป์ที่เตือนว่า
ยูเครนกำลังเล่นกับไฟ และอาจนำพาโลกเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สาม
คำพูดดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับเซเลนสกีทันที และบรรยากาศในทำเนียบขาวกลายเป็นสนามรบทางการทูตที่ดุเดือดที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายปี
เหตุการณ์ครั้งนี้นำไปสู่ปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วจากผู้นำประเทศทั่วโลก หลายชาติมองว่าสหรัฐฯ กำลังถอยห่างจากยูเครน ในขณะที่บางชาติยืนยันหนักแน่นว่าจะยังคงสนับสนุนยูเครนต่อไป
จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ยืนยันว่า "รัสเซียเป็นผู้รุกราน และยูเครนคือผู้ถูกโจมตี แคนาดาจะยืนหยัดเคียงข้างยูเครน"
โอลาฟ ชอลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวว่า "เยอรมนีและยุโรปจะยังคงยืนหยัดเคียงข้างยูเครนเพื่อสันติภาพที่ยุติธรรม"
เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เตือนว่า "เราทุกคนต้องช่วยเหลือยูเครนและคว่ำบาตรรัสเซียต่อไป"
ขณะที่ อียูและนาโต้ กำลังวิตกกังวลว่าทรัมป์อาจลดการสนับสนุนยูเครน ซึ่งอาจทำให้ยุโรปต้องรับภาระหนักขึ้น
วิตโตริโอ ออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการี ชื่นชมท่าทีของทรัมป์ โดยกล่าวว่า "ชายผู้แข็งแกร่งสร้างสันติภาพ ส่วนชายผู้ขลาดเขลานำไปสู่สงคราม"
มัตเตโอ ซัลวินี รองนายกรัฐมนตรีอิตาลี สนับสนุนแนวทางเจรจากับรัสเซีย โดยกล่าวว่า "หยุดสงคราม! หันมาเจรจากันเถอะ"
ฝั่งรัสเซียแสดงท่าทีพอใจอย่างเห็นได้ชัดกับความขัดแย้งนี้ ดมิทรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีรัสเซียถึงกับกล่าวว่า
เซเลนสกีเหมือนโดนตบหน้ากลางทำเนียบขาว!
ด้านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย มาเรีย ซาคาโรวา เสริมว่า "เซเลนสกีกำลังแสดงให้เห็นถึงความเย่อหยิ่งและความไม่สำนึกบุญคุณต่อสหรัฐฯ"
นักวิเคราะห์ชาวรัสเซียบางส่วนมองว่านี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบทางการเมืองของเซเลนสกี และทำให้การเจรจาสันติภาพกับรัสเซียมีโอกาสเกิดขึ้นมากขึ้น
ทรัมป์เคยประกาศว่าหากได้เป็นประธานาธิบดีจะยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนภายใน 24 ชั่วโมง แต่ด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวต่อเซเลนสกีในครั้งนี้ ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามว่าทรัมป์กำลังส่งสัญญาณลดความช่วยเหลือต่อยูเครนหรือไม่
นักวิเคราะห์การเมืองระบุว่า หากทรัมป์ลดระดับการสนับสนุนทางทหารให้ยูเครน นาโต้และชาติยุโรปจะต้องรับภาระหนักขึ้น และอาจทำให้รัสเซียมีโอกาสได้เปรียบในสงคราม
แม้ไทยจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับสงครามยูเครน-รัสเซีย แต่ความขัดแย้งนี้ส่งผลกระทบทางอ้อมต่อเศรษฐกิจไทยในหลายด้าน เช่น
การปะทะกันระหว่าง โวโลดีมีร์ เซเลนสกี และ โดนัลด์ ทรัมป์ ในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงความขัดแย้งส่วนตัว แต่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลก หากสหรัฐฯ ถอยห่างจากยูเครน อาจเป็นจุดพลิกผันของสงคราม และทำให้รัสเซียได้เปรียบมากขึ้น
อ้างอิง: Reuters