การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่สองกำลังสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในโลกของ Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ หลังจากล่าสุด Bitcoin ดิ่งลงกว่า 16% ภายในเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ หลังทรัมป์ประกาศสงครามการค้ากับจีน แคนาดา และเม็กซิโก ส่งผลให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ
หากย้อนกลับไปในปี 2019 ทรัมป์เคยแสดงท่าทีต่อต้าน Bitcoin โดยกล่าวว่าเป็น “การหลอกลวงต่อดอลลาร์สหรัฐ” แต่เมื่อเข้าสู่การเลือกตั้งปี 2024 ทรัมป์กลับพลิกจุดยืน ประกาศสนับสนุนคริปโตเต็มตัว และให้คำมั่นว่า “สหรัฐฯ จะเป็นมหาอำนาจ Bitcoin ของโลก” นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเสนอแนวคิดจัดตั้ง "Federal Bitcoin Reserve" หรือคลังสำรอง Bitcoin ของรัฐบาล ซึ่งถือเป็นแนวคิดที่อาจเปลี่ยนโฉมตลาดการเงินโลก
หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เกิดขึ้นทันทีหลังทรัมป์ชนะเลือกตั้งคือการแต่งตั้งพอล แอตกินส์ อดีตคณะกรรมาธิการ ก.ล.ต. (SEC) ผู้มีแนวคิดสนับสนุนการลดกฎระเบียบ มาเป็นประธาน ก.ล.ต. คนใหม่ ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดคริปโตมีเสรีภาพมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ได้แก่...
แม้จะมีการผันผวน ทว่าหลังจากทรัมป์ได้รับชัยชนะในเดือนพฤศจิกายน 2024 ราคา Bitcoin ก็พุ่งทะลุ $100,000 อย่างรวดเร็ว โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่าปัจจัยหลักคือความคาดหวังต่อนโยบายที่เป็นมิตรกับคริปโตของรัฐบาลใหม่
นักลงทุนสถาบันเริ่มเพิ่มการถือครอง Bitcoin มากขึ้น ขณะที่บริษัทด้านการเงินบางแห่ง เช่น BlackRock และ Fidelity ก็เร่งเปิดตัวกองทุนที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น
แนวคิดจัดตั้งคลังสำรอง Bitcoin ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ผลักดันโดยทรัมป์และวุฒิสมาชิกซินเธีย ลัมมิส อาจเป็นก้าวสำคัญในการทำให้ Bitcoin กลายเป็นสินทรัพย์สำรองระดับชาติ
หากรัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจถือครอง Bitcoin จำนวน 1 ล้าน BTC ภายในปี 2029 และ Bitcoin เติบโตเฉลี่ย 25% ต่อปี มูลค่าคลังสำรองนี้อาจสูงถึง 35.5% ของหนี้สาธารณะสหรัฐฯ ภายในปี 2049 ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ
อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้มีข้อกังขาหลายประการ เช่น
ทรัมป์มีนโยบายสนับสนุนการผลิตพลังงานภายในประเทศ โดยเฉพาะจากเชื้อเพลิงฟอสซิลและพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นข่าวดีสำหรับอุตสาหกรรมเหมืองขุด Bitcoin ในสหรัฐฯ
หากต้นทุนพลังงานลดลง นักขุดเหมือง Bitcoin ในสหรัฐฯ อาจมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นผู้นำด้าน Hashrate ของโลก แต่ในขณะเดียวกัน นโยบายนี้อาจขัดแย้งกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของนานาชาติ
อีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นหลังทรัมป์ชนะเลือกตั้งคือการเปิดตัว “Trump Coin” ซึ่งเป็น Meme Coin ที่ทรัมป์เปิดตัวเอง แม้ว่าราคาจะพุ่งสูงในช่วงแรก แต่ก็ร่วงลงอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมการเก็งกำไรที่รุนแรงในตลาดคริปโต
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการลงทุนใน Meme Coin อาจมีความเสี่ยงสูง แม้แต่เหรียญที่ได้รับแรงสนับสนุนจากบุคคลระดับโลกอย่างทรัมป์ก็ตาม
นักลงทุนที่สนใจลงทุนใน Bitcoin ในยุคทรัมป์ 2.0 ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้
Bitcoin ในยุคทรัมป์ 2.0 กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ นโยบายที่เป็นมิตรกับคริปโตอาจช่วยผลักดันตลาดให้เติบโต แต่ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองยังเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามอง นักลงทุนควรประเมินโอกาสและความเสี่ยงอย่างรอบคอบ พร้อมติดตามข่าวสารและนโยบายของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุคของ Bitcoin ที่อาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
อ้างอิง: Vaneck, Investopedia, CNBC, Reuters