แค่เริ่มก็เดือดแล้ว โพลล์ชี้ "ไบเดน"ชนะ"ทรัมป์" ศึกเลือกตั้งปธน.ปี 67

26 เม.ย. 2566 | 00:08 น.

หลังจากที่ปธน.ไบเดน ประกาศชัดเมื่อวันอังคาร(25 เม.ย.) ว่าเขาจะลงแข่งขันศึกเลือกตั้งรั้งตำแหน่งผู้นำสหรัฐสมัยที่สองในปี 67 ก็มีการทำสำรวจพบว่า หากศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ คู่แข่งเป็นคู่เดิมเหมือนในปี 2563 ผู้ชนะก็จะยังคงเป็น “คนเดิม”

 

ผลการสำรวจของวอลล์สตรีท เจอร์นัล ซึ่งได้จัดทำขึ้นในช่วงกลางเดือนเมษายนนี้ พบว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต มีคะแนนนำ นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐจาก พรรครีพับลิกัน  อยู่ 3% ทั้งนี้ คาดว่าปธน.ไบเดนจะได้คะแนนเสียง 48% ขณะที่นายทรัมป์ได้รับ 45% นั่นหมายความว่า ปธน.ไบเดนก็จะยังคงมีชัยชนะเหนือนายทรัมป์ใน ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่กำลังจะมีขึ้นในปีหน้า(2567)

ทางด้านสำนักข่าว NBC ได้เปิดเผยผลการสำรวจความพึงพอใจของชาวอเมริกันต่อการทำงานของปธน.ไบเดน พบว่า ความพึงพอใจอยู่ที่ระดับ 41% ในเดือนเม.ย.2566 ซึ่งแม้จะต่ำกว่า 57% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่เขาเคยได้รับ แต่ก็ยังนับว่าสูงกว่าระดับ 39% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดที่เขาเคยได้ในเดือนพ.ค.2565

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ปธน.ไบเดนยังคงเป็นตัวเลือกที่ “ดีที่สุด” สำหรับพรรคเดโมแครตในการสู้ศึกเลือกตั้งกับนายทรัมป์ ซึ่งแม้ปธน.ไบเดนจะมีอายุมากแล้ว แต่เขาก็มีประสบการณ์มายาวนานหลายปีจากการเป็นรองประธานาธิบดีและประธานาธิบดีสหรัฐ จึงมีศักยภาพในการรับมือกับความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในเวทีโลกท่ามกลางบริบทที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ยังคงเดินหน้าทำสงครามในยูเครน และจีนก็ยังคงต้องการแผ่อำนาจในภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะในทะเลจีนใต้

โจ ไบเดน ในวัย 80 ประกาศสู้ศึกการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีหน้า (2567)

ทั้งนี้ ปธน.ไบเดนประกาศตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันอังคาร (25 เม.ย.) ว่าเขาจะลงชิงชัยเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตในการสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2567

วัย 80 ปี ยังอาสาทำงานเพื่อชาติ

"เมื่อผมประกาศว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อ 4 ปีก่อน ผมเคยบอกว่า เรากำลังทำสงครามสำหรับจิตวิญญาณแห่งอเมริกา และขณะนี้เราก็ยังคงอยู่ในการทำสงครามดังกล่าว ปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ก็คือ ในช่วงหลายปีข้างหน้า เราจะมีอิสรภาพมากขึ้นหรือน้อยลง มีสิทธิมีเสียงมากขึ้นหรือน้อยลง ผมรู้ว่าผมต้องการให้คำตอบคืออะไร และผมคิดว่าพวกคุณก็เช่นกัน นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมานิ่งนอนใจ และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ผมตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเป็นสมัยที่ 2" ปธน.ไบเดนกล่าวในคลิปวิดีโอที่มีการเผยแพร่

ปัจจุบัน ปธน.โจ ไบเดน วัย 80 ปี ถือเป็นผู้นำสหรัฐที่มีอายุมากที่สุดขณะดำรงตำแหน่ง และหากเขาคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งปีหน้า (2567) และได้ครองทำเนียบขาวอีก 4 ปี ก็จะทำให้เขามีอายุ 86 ปีขณะสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2

ทางด้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ประกาศตัวไว้แล้วก่อนหน้านี้ว่าเขาจะลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้ง ขณะที่ผลสำรวจพบว่า นายทรัมป์ยังคงมีคะแนนนำผู้สมัครคนอื่นๆในการคัดเลือกเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันเพื่อการสู้ศึกครั้งนี้

ทรัมป์ขอทวงคืนตำแหน่งที่เขาเชื่อเสมอมาว่า "ถูกโกง"เอาไป

ถ้า"รีแมทช์"คู่เดิม ทรัมป์ขอทวงคืนบัลลังก์

นายทรัมป์ต้องการลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปี 2567 ซึ่งจะถือว่าเป็นนัดล้างตา เพราะเขาพ่ายแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2563 ต่อนายไบเดน ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต  ซึ่งตัวเขาปฏิเสธความพ่ายแพ้นั้นมาโดยตลอด ทรัมป์อ้างว่าเขาถูกปล้นชัยชนะ และฝ่ายตรงข้ามได้โกงการเลือกตั้ง

ดังนั้น หากนายทรัมป์และปธน.ไบเดนต่างก็ประสบความสำเร็จในการได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันและเดโมแครตในการสู้ศึกเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย.2567 ก็จะเป็นการ “รีแมทช์” หรือเป็นการกลับมาพบกันอีกครั้งของคู่ชิงคู่เดิมที่เคยแข่งขันกันมาแล้วในปี 2563

ถนนสู่ทำเนียบขาวช่างน่าเย้ายวนใจ

นี่จะถือเป็นการแก้มือครั้งสำคัญของนายทรัมป์ ซึ่งแม้จะเพลี่ยงพล้ำจนพ่ายแพ้การเลือกตั้งครั้งก่อนหน้านี้ แต่คาดว่าเขายังคงมีฐานเสียงจำนวนมากที่ยังคงจงรักภักดีและพร้อมที่จะสนับสนุนให้เขากลับเข้าทำเนียบขาวอีกครั้ง

คดีความรุงรัง อุปสรรคสกัดหนทางแข่งขัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับโดนัลด์ ทรัมป์ ในการกลับมาทวงคืนบัลลังก์ คือคดีความรุงรังที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเขามัวหมอง ล่าสุด ทรัมป์กำลังเตรียมต่อสู้คดีข่มขืนเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน นับเป็นคดีใหม่ในศาลที่เขาต้องเผชิญ หลังมีสตรีรายหนึ่งกล่าวหาว่า นายทรัมป์ข่มขืนเธอในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งตั้งแต่เมื่อช่วงกลางทศวรรษ 1990 

คดีดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่ "อี.จีน แคร์รอลล์" นักเขียนและอดีตนักเขียนคอลัมน์ของนิตยสารแอล (Elle) ออกมากล่าวหาว่านายทรัมป์ข่มขืนเธอ โดยยื่นฟ้องเขาในข้อหาหมิ่นประมาทด้วย

แต่ทรัมป์ได้ออกมาปฏิเสธและยืนยันว่า ไม่เคยข่มขืนแคร์รอลล์ นอกจากนี้ยังเรียกคำกล่าวหาของเธอว่า เป็น “เรื่องโกหก” และ “เรื่องหลอกลวงสุด ๆ” ทรัมป์ยังอ้างด้วยว่า โจทก์เก่ารายนี้แต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อใช้โปรโมทหนังสือบันทึกความทรงจำของเธอเอง พร้อมยังประกาศด้วยว่า "แคร์รอลล์ไม่ใช่สเปคของผม!” 

ทรัมป์ไม่ต้องปรากฏตัวต่อหน้าผู้พิพากษาในคดีนี้ และทีมทนายเปิดเผยว่า อดีตผู้นำสหรัฐฯ อาจไม่มาขึ้นศาล เนื่องจากประเด็นความกังวลด้านความปลอดภัยและการจราจร ขณะที่ทนายของแคร์รอลล์ระบุว่า ไม่มีแผนจะเรียกทรัมป์ขึ้นเป็นพยานให้การในศาลเช่นกัน

แต่ถ้าหากทรัมป์ขึ้นให้การในศาล เขาน่าจะต้องเผชิญกับการสืบค้านอันดุเดือด

นับตั้งแต่เรื่องนี้ปะทุขึ้นมาครั้งแรกในปี 2562 ทรัมป์ได้ออกมาโจมตีแคร์รอลล์ในทุกทางมาอย่างต่อเนื่อง และยังอ้างด้วยว่า โจทก์ในคดีนี้มีอาการป่วยทางจิต

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ลูอิส แคปแลน ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางในแมนฮัตตันที่ดูแลคดีนี้ ไม่ยอมเปิดเผยตัวตนของคณะลูกขุนต่อสาธารณะและทนาย เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้สนับสนุนทรัมป์ก่อกวนรังควาญบุคคลเหล่านี้ มีการประเมินว่า กระบวนการไต่สวนคดีนี้น่าจะใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ หลังการเปิดศาลเมื่อวันอังคาร (25 เม.ย.)

ในช่วงที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ถูกยื่นฟ้องและถูกสอบสวนในหลายคดี โดยอดีตผู้นำที่เคยมีภาพลักษณ์เป็นเศรษฐีเพลย์บอยเมื่อก่อนหน้านี้ ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้ทำผิดดังที่ถูกกล่าวหาในทุกคดี (อ่านเพิ่มเติม:“โดนัลด์ ทรัมป์” อดีตผู้นำสหรัฐคนแรกที่ถูกฟ้องคดีอาญา ลุ้นโทษสูงสุด 136 ปี)