อีลอน มัสก์ ทุบสถิติกินเนสต์ฯ "ความร่ำรวยลดแรงที่สุดในประวัติศาสตร์"

12 ม.ค. 2566 | 10:28 น.

นายอีลอน มัสก์ ที่เคยครองตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับ1ของโลก ทุบสถิติใหม่รับรองโดยกินเนสต์ฯ ในฐานะบุคคลที่"ความร่ำรวยลดแรงที่สุดในประวัติศาสตร์"

 

กินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ด (Guinness World Records) ระบุผ่านเว็บไซต์วานนี้ (11 ม.ค.) ว่า นายอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีนักลงทุนและนักธุรกิจชาวอเมริกัน ผู้ก่อตั้ง บริษัทเทสลา และ สเปซเอ็กซ์ ทำลายสถิติโลก จากการเป็น "บุคคลที่สูญเสียทรัพย์สินส่วนตัวมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก" หรือสถิติ the largest loss of personal fortune in history

 

ความร่ำรวยที่สูญเสียไปนั้น คือราวๆ 1.65 แสนล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 5.5 ล้านล้านบาทภายในช่วงเวลาเพียง 1 ปีกว่าๆ คือนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2021 ถึงธันวาคม 2022 อ้างอิงข้อมูลจากนิตยสารฟอร์บส์

 

เดือนธ.ค.2565 นายมัสก์ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยเป็นอันดับ1 ของโลก(จากการจัดอันดับของฟอร์บส์) เพิ่งเสียตำแหน่งดังกล่าวให้กับนายเบอร์นาร์ด อาร์โนลด์ วัย 73 ปี ซีอีโอของอาณาจักรธุรกิจ LVMH บริษัทข้ามชาติสัญชาติฝรั่งเศส ผู้ผลิตสินค้าแบรนด์หรูอย่าง Louis Vuitton, Christian Dior ,Givenchy และ Celine ทั้งยังเป็นเจ้าของร้านขายเครื่องสำอาง Sephora ที่มีมูลค่าทรัพย์สินรวม 1.88 แสนล้านดอลลาร์ 

 

ขณะที่ มูลค่าความร่ำรวยของอีลอน มัสก์ หล่นมาอยู่ที่ 1.78 แสนล้านดอลลาร์

 

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากมูลค่าหุ้นเทสลาที่มัสก์เป็นผู้ก่อตั้งและซีอีโอ ร่วงลงอย่างรุนแรง โดยเฉพาะนับตั้งแต่ที่มัสก์ได้ยื่นเสนอซื้อทวิตเตอร์ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา (2565) หุ้นของเทสลาก็ลดลงไปกว่า 47% 

 

นอกจากนี้ มัสก์ยังมีปัญหาการตกลงซื้อสื่อโซเชียลชื่อดัง "ทวิตเตอร์" 44,000 ล้านดอลลาร์ ที่นับตั้งแต่ซื้อมาก็มีการโละพนักงานออกจำนวนมาก การทุ่มเทเวลาวุ่นวายอยู่กับการผ่าตัดองค์กรทวิตเตอร์ของมัสก์ สร้างความกังวลให้กับเหล่านักลงทุนว่า มัสก์จะไม่ได้ให้ความสนใจต่อเทสลามากพอ


การสูญเสียทรัพย์สินของมัสก์ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา (2565) นับเป็นการโค่นสถิติโลกเก่าที่สร้างไว้โดยนายมาซาโยชิ ซัน นักลงทุนด้านเทคโนโลยีชาวญี่ปุ่น ที่เคยทำสถิติ "การสูญเสียความร่ำรวย" ไว้ที่ราว 5.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2000

 

อย่างไรก็ดี การสูญเสียที่ถูกประเมินนี้คิดจากมูลค่าหุ้นส่วนตัวของมัสก์ ซึ่งในอนาคตก็ยังสามารถกลับมาเติบโตได้อีก