"ยูไนเต็ด แอร์ไลน์" ขู่ไล่พนักงาน หากไม่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด

07 ส.ค. 2564 | 20:01 น.

สายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ออกจดหมายเวียนไปยังพนักงานในสหรัฐทั้งหมดจำนวน 67,000 คนวานนี้ (7 ส.ค.) โดยระบุว่า พนักงานทุกคนจะต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ไม่เกินวันที่ 25 ต.ค.นี้ มิฉะนั้นจะถูกให้ออกจากงาน

ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ นับเป็นสายการบินแห่งแรกใน สหรัฐอเมริกา ที่มีการออกคำสั่งในลักษณะดังกล่าวต่อพนักงาน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ สายการบินต่างๆมักใช้วิธี “เสนอสิ่งจูงใจ” เพื่อให้พนักงานเข้า รับการฉีดวัคซีน เช่น การให้เงินชดเชยพิเศษ หรือการให้วันหยุดพิเศษ

 

"เรารู้ว่าบางคนอาจไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของบริษัทในครั้งนี้ที่บังคับให้พนักงานทุกคนต้องเข้ารับการฉีดวัคซีน แต่เรามีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ต่อคุณและเพื่อนร่วมงานของคุณ เพื่อให้คุณเองมีความปลอดภัยในการทำงาน และความจริงก็คือ ทุกคนจะมีความปลอดภัยมากขึ้น หากทุกคนได้รับการฉีดวัคซีน" นายสก็อตต์ เคอร์บี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายเบรทท์ ฮาร์ท ประธานกรรมการของยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ระบุในจดหมายเวียนถึงพนักงาน

พนักงานทุกคนจะต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ไม่เกินวันที่ 25 ต.ค.นี้

 ข้อความในจดหมายเวียนยังระบุด้วยว่า "ในช่วง 16 เดือนที่ผ่านมา คุณสก็อตต์ต้องออกจดหมายแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของพนักงานยูไนเต็ด แอร์ไลน์ที่ได้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 เราจึงตั้งใจที่จะทำทุกสิ่งที่ทำได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการออกจดหมายในลักษณะนี้ต่อครอบครัวของพนักงานยูไนเต็ด แอร์ไลน์อีก" ข้อความในจดหมายเวียนระบุ

 

ทั้งนี้ ผลสำรวจจากมูลนิธิตระกูลไกเซอร์ (KFF) พบผู้ใหญ่ชาวอเมริกันที่ยังไม่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ส่วนใหญ่นั้น ให้เหตุผลว่า พวกเขาไม่เชื่อในประสิทธิภาพของวัคซีน และมองว่าวัคซีนมีความเสี่ยงต่อสุขภาพมากกว่าเชื้อไวรัส

 

ผลสำรวจระบุว่าผู้ใหญ่ชาวอเมริกันที่ยังไม่ฉีดวัคซีน 53% เชื่อว่าวัคซีนก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพของพวกเขามากกว่าโรคโควิด-19 สวนทางกับผู้ใหญ่ที่ฉีดวัคซีน 88% ที่เชื่อว่าโรคโควิด-19 มีความเสี่ยงต่อสุขภาพมากกว่าวัคซีน

ผู้ใหญ่ชาวอเมริกันที่ยังไม่ฉีดวัคซีน 53% เชื่อว่าวัคซีนก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ

ขณะเดียวกันผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีน 57% และผู้ที่ "ยืนยัน" จะไม่ฉีดวัคซีน 75% มองว่า ข่าวเกี่ยวกับความรุนแรงของโรคระบาดใหญ่นั้น "เกินจริง" ขณะผู้ฉีดวัคซีน 53% มองว่าข่าวดังกล่าวนำเสนอ "ถูกต้องแล้ว" และอีก 24% มองว่าข่าวนำเสนอความรุนแรงของโรค "น้อยกว่าความเป็นจริง"

 

"มุมมองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของคนที่ฉีดและไม่ฉีดวัคซีนสะท้อนความขัดแย้งของกระแสถกเถียงเกี่ยวกับนโยบายบังคับฉีดวัคซีนในประเทศในเวลานี้" มูลนิธิกล่าว

 

ตัวอย่างเช่น ผู้ฉีดวัคซีน 68% มีแนวโน้มจะบอกรัฐบาลกลางให้แนะนำนายจ้างฉีดวัคซีนให้ลูกจ้างของตน สวนทางกับผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีน 16% ขณะที่ 51% ของผลสำรวจโดยรวมมองว่ารัฐบาลกลางควรทำเรื่องดังกล่าว และอีก 45% มองว่าไม่ควรทำ

 

นอกจากนี้ ผู้ใหญ่ที่ฉีดวัคซีนมีแนวโน้มจะสวมหน้ากากอนามัยในร้านขายของชำและสถานที่ในร่มอื่นๆ ที่ทำงาน หรือในสถานที่คนพลุกพล่านต่อไป มากกว่าผู้ใหญ่ที่ยังไม่ฉีดวัคซีน

 

"ความแตกต่างเหล่านี้ส่วนใหญ่ขับเคลื่อนโดยผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันที่ยังไม่ฉีดวัคซีน และส่วนใหญ่กล่าวว่าพวกเขาไม่เคยสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่กลางแจ้งที่คนพลุกพล่าน ที่ทำงาน หรือในร้านขายของชำเลย สวนทางกับผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตที่ส่วนใหญ่จะสวมหน้ากากอนามัยขณะอยู่ในสถานที่ข้างต้น" มูลนิธิฯ กล่าว

 

ผลสำรวจดังกล่าวอ้างอิงจากการสำรวจความคิดเห็นผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน 1,500 คน ระหว่างวันที่ 15-27 ก.ค.2564 โดยราว 14% ของผู้ร่วมสำรวจยืนยันหนักแน่นว่าพวกเขาจะ "ไม่ฉีดวัคซีน" ซึ่งเป็นสัดส่วนเดียวกับที่สำรวจพบเมื่อเดือนธันวาคมปีก่อน