เมื่อ “ผู้ชายจีน” ยุคใหม่ “รักสวยรักงาม”

20 มี.ค. 2564 | 10:15 น.

ตลาด “อุตสาหกรรมความงามด้วยแพทย์” ไทย คึก หลังผลสำรวจ ผู้ชายจีน ยุคใหม่ รักสวยรักงาม ยอมจ่ายเงินเท่าผู้หญิง  “ทูตพาณิชย์” ชิงเต่า ประเมินส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองชิงต่าว รายงานว่า หนังสือพิมพ์ Beijing Youth Daily เผยแพร่รายงานผลการสำรวจวิจัยทางการตลาด พบว่าผู้ชายจีนยุคใหม่มีความยินดีที่จะจ่ายเงินด้านความสวยความงามมากขึ้น โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคิดเป็น 2.75เท่าของผู้หญิงจีน ซึ่งสอดคล้องกับรายงานอุตสาหกรรมความงามทางการแพทย์ปี ค.ศ. 2018 ของบริษัทซินหยาง แพลตฟอร์มให้คำปรึกษาด้านความงามทางการแพทย์ของจีน ที่ได้เปิดเผยแนวโน้มการพัฒนาความงามทางการแพทย์จีน 7 ประการ

 

โดยหนึ่งในแนวโน้มที่น่าสนใจคือ ผู้บริโภคความงามทางการแพทย์เพศชายชาวจีนมีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 11.12 ของผู้บริโภคทั้งหมด ซึ่งถึงแม้จะยังเป็นสัดส่วนที่ต่ำกว่าจำนวนผู้บริโภคเพศชายของต่างประเทศ แต่เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการบริโภค โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเท่ากับ7,025 หยวนต่อคนต่อปีหรือประมาณ 32,315 บาทต่อคนต่อปี

 

เช่นเดียวกับรายงานการสำรวจพฤติกรรมชาวออฟฟิศจีนปี ค.ศ. 2020 ของ บริษัท iResearch บริษัทวิจัยการตลาดของจีน เปิดเผยว่า กลุ่มผู้บริโภคความงามทางการแพทย์จีนเป็นเพศชายร้อยละ 30 ของผู้บริโภคทั้งหมด และมีการบริโภคเกี่ยวกับความงามทางการแพทย์มากกว่า 1,000 หยวนต่อเดือน หรือประมาณ 4,600 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายระดับเดียวกับผู้บริโภคเพศหญิง แสดงให้เห็นว่าปัจจุบันประเทศจีนมีผู้บริโภคความงามทางการแพทย์เพศชายขยายตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริโภคก็มีแนวโน้มที่อยู่ในระดับเดียวกันกับผู้บริโภคเพศหญิง จึงอาจกล่าวได้ว่าผู้ชายจีนยุคใหม่มีความรักสวยรักงามมากยิ่งขึ้น (อัตราแลกเปลี่ยน 1 หยวนเท่ากับ 4.6 บาท)

 

นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ชายที่บริโภคเกี่ยวกับความงามทางการแพทย์ส่วนใหญ่เป็นหนุ่มออฟฟิศที่มีค่าใช้จ่ายหลักคือ การปลูกผม ซึ่งเป็นรายการที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายการทั่วไปสำหรับบริการความงามทางการแพทย์แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของความวิตกกังวลของผู้ชายจีนชนชั้นกลาง-บน ที่มักประสบกับปัญหาผมร่วง ทำให้ตลาดความงามทางการแพทย์ประเภทการปลูกผมเป็นตลาดที่ใหญ่มากในตลาดจีนเนื่องจาก 1 ใน 4 ของผู้ชายจีน มักมีปัญหาผมร่วงจากปัจจัยความเครียดและพันธุกรรมเป็นสำคัญ

 

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาด้านจำนวนผู้เข้ารับบริการความงามทางการแพทย์ พบว่าเพศชายมีจำนวนน้อยกว่าผู้หญิง อาจเป็นเพราะได้รับแรงกดดันต่อรูปลักษณ์จากภายนอกน้อยกว่าผู้หญิง โดยมีรายงานการสำรวจฉบับหนึ่งพบว่า นักศึกษาเพศชายในกรุงปักกิ่ง ร้อยละ 32.7 และเพศหญิงร้อยละ 36.1 รู้สึกไม่พอใจกับรูปลักษณ์ภายนอกของตน ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ผู้ชายตัดสินใจใช้บริการความงามทางการแพทย์โดยเฉพาะการศัลยกรรมคือ ฐานะครอบครัวดีและมีความสามารถในการจ่าย ขณะที่ปัจจัยที่ทำให้ผู้หญิงตัดสินใจใช้บริการความงามทางการแพทย์โดยการทำศัลยกรรมคือ การถูกหัวเราะเยาะและดูถูกจากสังคมถึงรูปลักษณ์ภายนอกเป็นสำคัญ

 

เมื่อพิจารณาค่าใช้จ่ายในการบริโภคความงามทางการแพทย์สำหรับผู้บริโภคชาวจีนส่วนใหญ่ที่เป็นชาวออฟฟิศแล้ว พบว่าค่าใช้จ่ายเดือนละกว่า 1,000 หยวน หรือประมาณ 4,600 บาท เป็นค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงสำหรับชาวออฟฟิศโดยทั่วไป เนื่องจากผู้บริโภคชาวจีนส่วนใหญ่มีรายได้ปานกลาง และมีค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันสูง สำหรับผู้บริโภคที่ไม่มีรายได้อย่างนักศึกษา มีการสุ่มสำรวจพบว่านักศึกษาวิทยาลัย 4 แห่งในมหานครเซี่ยงไฮ้และนครซีอาน พบว่านักศึกษาทั่วไปมีปัญหาการบริโภคที่ไม่มีเหตุผล เช่น การบริโภคที่เกิด

 

 

จากการกระตุ้นและการบริโภคที่ถูกบังคับ โดยในที่นี้การบริโภคเกี่ยวกับร่างกายเป็นรายการที่มีค่าใช้จ่ายสูงเป็นอันดับ 2 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ชายจีนยุคใหม่แม้จะไม่มีรายได้หรือมีรายได้ปานกลาง แต่ยังคงมีความต้องการในการบริโภคความงามทางการแพทย์หรือรักสวยรักงามไม่แพ้ผู้หญิง และถึงแม้ว่าปัจจุบันจะยังคงมีจำนวนไม่มากนัก แต่กลับมีศักยภาพในการบริโภคที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ผู้บริโภคเพศชายชาวจีนยุคใหม่จึงถือเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ภาคธุรกิจไม่อาจมองข้ามได้เช่นกัน

 

ผลกระทบด้านเศรษฐกิจต่อประเทศไทย และแนวทางการปรับตัวของภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการไทยบริษัท iResearch บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาด้านการตลาดของจีน เปิดเผยว่าในปี ค.ศ. 2019ตลาดความงามทางการแพทย์ของจีนมีมูลค่า 176,900 ล้านหยวน หรือประมาณ 813,740 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.2 (YoY) มีผู้ใช้บริการความงามทางการแพทย์จำนวน 13.672 ล้านคน และคาดการณ์ว่าในปีค.ศ.2023 จะมีจำนวนผู้ใช้บริการ 25.483 ล้านคน

 

โดยปี ค.ศ.2019 – 2023 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR)เท่ากับร้อยละ 16.8 ต่อปี เนื่องจากมีปัจจัยบวกของการเติบโตของธุรกิจความงามทางการแพทย์ของจีนในปีค.ศ. 2013 – 2017 ที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว มีการจัดตั้งสถาบันความงามทางการแพทย์เพิ่มขึ้นจำนวนมากประกอบกับการเติบโตของจำนวนเน็ตไอดอล และพฤติกรรมการเลียนแบบผู้ที่มีชื่อเสียง ทำให้ผู้บริโภคมีความ

 

ต้องการความงามทางการแพทย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังพบว่า ประเทศที่ผู้บริโภคชาวจีนนิยมใช้บริการความงามทางการแพทย์มากที่สุด ได้แก่ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และไทย ตามลำดับจากสถานการณ์และแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจและบริการและแนวโน้มการบริโภคความงามทางการแพทย์ของผู้ชายที่เริ่มขยายตัวเพิ่มมากขึ้น คาดว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย

 

เนื่องจากประเทศไทยมีเป้าหมายในการเป็นศูนย์กลางการให้บริการสุขภาพ ทั้งในเรื่องของบริการรักษาสุขภาพ และบริการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาสุขภาพโดยตรง หรือบริการความงามทางการแพทย์ดังนั้น จึงถือเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการสถานให้บริการความงามทางการแพทย์ของไทย รวมทั้งผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ความงามทางการแพทย์ของไทยที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์และการให้บริการให้มีคุณภาพดี และได้รับมาตรฐานสากลอยู่เสมอ

 

เพื่อสามารถรักษาความนิยม และดึงดูดผู้บริโภครายใหม่ๆ ที่มีศักยภาพในการใช้บริการความงามทางการแพทย์ของไทยให้มากขึ้น โดยในการขยายตลาดเข้าสู่ตลาดจีนในระยะสั้นสามารถใช้ช่องทางออนไลน์หรือสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ในการสร้างการรับรู้ถึงผลิตภัณฑ์และบริการความงามทางการแพทย์ของไทย ขณะที่ระยะกลางและระยะยาว

 

ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งสร้างโอกาสในการขยายตลาดเข้าสู่ช่องทางออฟไลน์มากขึ้น เนื่องจากตลาดจีนมีแบรนด์ผลิตภัณฑ์ความงามเป็นจำนวนมาก และผู้บริโภคชาวจีนส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในระดับสากลและเป็นที่รู้จักมากกว่าแบรนด์ใหม่ๆ ดังนั้น การสร้างการรับรู้การใช้ KOL ในการประชาสัมพันธ์การสร้างประสบการณ์ที่ดีในการใช้ผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้แบรนด์ผลิตภัณฑ์ความงามและบริการทางการแพทย์ของไทยสามารถขยายตลาดและเจาะตลาดผู้บริโภคชาวจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ทั้งนี้ ควรให้ความสำคัญกับการศึกษากฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานสินค้าผลิตภัณฑ์ และบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพในตลาดจีนควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้สินค้า ผลิตภัณฑ์ และบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ความงามทางการแพทย์ของไทยมีความน่าเชื่อถือ และได้รับการยอมรับในตลาดจีนตลอดจนสามารถขยายตลาดเข้าสู่ตลาดจีนได้อย่างยั่งยืนในระยะยาวต่อไป

 

ที่มา

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองชิงต่าว