การดีดตัวของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทที่มักเกิดขึ้นในช่วงสิ้นปี หรือที่มักเรียกกันว่าปรากฏการณ์ "ซานต้า แรลลี่" (Santa Rally) อาจจะไม่เกิดขึ้นในปีนี้ นักวิเคราะห์มองว่า เป็นเพราะตลาดได้รับ ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้หลายประเทศต้องกลับมาใช้ มาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่
ทั้งนี้ “ซานต้า แรลลี่” ของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมักเกิดขึ้นเป็นเวลา 7 วันทำการ โดยมีขึ้นในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปีปัจจุบัน รวมทั้ง 2 วันแรกของปีใหม่
จากการรวบรวมสถิติการปรับตัวของตลาดหุ้นนิวยอร์กช่วง 7 วันของซานต้า แรลลี่ พบว่า ดัชนีดาวโจนส์สามารถปิดตลาดในแดนบวกถึง 78% นับตั้งแต่ปี 2471 หรือในช่วงเวลากว่า 90 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดิ่งลงกว่า 600 จุดวานนี้ (21 ธ.ค. ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐ) บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะทรุดตัวลงในคืนเดียวกัน ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งได้บดบังข่าวดีเกี่ยวกับการที่แกนนำในสภาคองเกรสสหรัฐสามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 9 แสนล้านดอลลาร์
ปัจจุบัน มีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกมากกว่า 77 ล้านราย โดยในจำนวนนี้เป็นผู้ติดเชื้อในสหรัฐอเมริกามากกว่า 18 ล้านราย
ตลาดหุ้นยุโรปเปิดตลาดร่วงลงในวันที่ 21 ธ.ค. (เวลาท้องถิ่น) โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นกลุ่มการท่องเที่ยว หลังจากมีรายงานพบการ “กลายพันธุ์” ของไวรัสโควิด-19 ในประเทศอังกฤษ ซึ่งส่งผลให้หลายประเทศทั้งในยุโรปและภูมิภาคอื่น ๆ ประกาศระงับเที่ยวบินจากอังกฤษ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อังกฤษ เรียกประชุมฉุกเฉิน รับมือวิกฤต “โควิดกลายพันธุ์”
คลอดแล้ว มาตรการกระตุ้นศก.สหรัฐวงเงิน 9 แสนล้านดอลล์
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดร่วง วิตกโควิดระบาดหนัก
ณ เวลา 15.34 น. ของวันที่ 21 ธ.ค. ตามเวลาไทย ดัชนี Stoxx Europe 600 ของยุโรปอยู่ที่ระดับ 388.88 จุด ลดลง 7.03 จุด หรือ 1.78
%
ปัจจัยลบจากอังกฤษคือการค้นพบไวรัสโคโรน่ากลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่เชื้อรวดเร็วกว่าเดิมถึง 70% ทำให้นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศยกระดับมาตรการคุมเข้มการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จากเดิมมีระดับสูงสุดเพียง tier 3 ก็ต้องเพิ่มขึ้นมาอีกระดับเป็น tier 4 ซึ่งมาตรการเชิงปฏิบัติจะใกล้เคียงกับมาตรการล็อกดาวน์ที่เคยประกาศใช้เมื่อเดือนพ.ย.
อีกสาเหตุที่ทำให้นักวิเคราะห์เชื่อว่า ปรากฏการณ์ "ซานต้า แรลลี่" อาจจะไม่เกิดขึ้นในปีนี้ คือการที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทพุ่งขึ้นอย่างมากในเดือนพ.ย.และต้นเดือนธ.ค. ทำให้ตลาดเข้าสู่ภาวะที่มีแรงซื้อมากเกินไปแล้ว ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 10.9% ในเดือนพ.ย. ทำสถิติเป็นเดือนพ.ย.ที่ดัชนีพุ่งขึ้นมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ของวอลล์สตรีท ต่อมาในเดือนธ.ค. ราคาหุ้นราว 76% ในดัชนี S&P 500 ได้ดีดตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยรอบ 50 วัน ซึ่งบ่งชี้ว่าดัชนีอยู่ในภาวะ overbought เป็นอย่างมาก (ภาวะที่มีแรงซื้อมากเกินไป) ทำให้เชื่อว่า เป็นไปได้ที่ตลาดจะเกิดการพักฐานในช่วงท้ายปี
นอกจากนี้ ผลการสำรวจของแบงก์ ออฟ อเมริกา ยังพบว่า ผู้จัดการกองทุนได้ทำการลงทุนใกล้เต็มพอร์ทแล้ว และนักลงทุนสถาบันได้ลดการถือเงินสดในพอร์ทเหลือเพียง 4% จาก 6% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นการส่งสัญญา "ขาย" และบ่งชี้ว่า ดัชนี S&P 500 จะร่วงลง 3.2% ในเดือนม.ค.2564