หนึ่งในบริษัทอาหารวีแกน (Vegan) ที่ออกมาตอบรับกระแสความร้อนแรงของตลาดอาหารสำหรับชาวมังสวิรัตินี้ คือ บริษัท Foods for Tomorrow สตาร์ตอัพเทคโนโลยีอาหารจากนครบาร์เซโลนา ประเทศสเปน เจ้าของสินค้าเนื้อ Vegan แบรนด์ Heura ซึ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อต้นปี 2561 โดยมีนาย Marc Coloma เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท ภายใต้สโลแกน “Save the world, eat Heura”
สินค้า Heura ใช้นํ้าในการผลิตน้อยกว่าการผลิตเนื้อวัวถึง 94% และสร้างก๊าซเรือนกระจกได้น้อยกว่าอุตสาหกรรมปศุสัตว์หลายเท่าตัว ยืนยันได้จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ซึ่งบ่งชี้ว่า การกินมังสวิรัติเป็นหนึ่ง ในวิธีลดปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง เนื่องจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการผลิตและแปรรูปเนื้อสัตว์ทั่วโลกมีส่วนทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกถึง 14% หรือเทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคคมนาคมขนส่งทั้งภาคเลยทีเดียว
สินค้าทุกตัวของ Heura จะทำมาจากพืช 100% โดยเฉพาะจากถั่วเหลือง ซึ่งจะมีรสชาติและเนื้อสัมผัสเหมือนกับเนื้อสัตว์จริงๆ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ เนื้อไก่เทียม เนื้อวัวเทียม และอาหารพร้อมรับประทานซึ่งจะมีหลากหลายรูปแบบให้เลือก และที่สำคัญไปกว่านั้น คือ มีคุณค่าทางโภชนาการของอาหารที่มีโปรตีนสูงกว่าไข่ไก่ 2 เท่า มีธาตุเหล็กมากกว่าผักโขม 1 จาน 4 เท่า และมีไฟเบอร์สูงกว่าเต้าหู้ถึง 6 เท่า จึงไม่น่าแปลกใจหากบริษัท Foods for Tomorrow จะก้าวเข้าไปอยู่แถวหน้าของวงการอาหารสเปนหลังก่อตั้งบริษัทได้เพียง 1 ปี โดยในปี 2561 ทางบริษัทก็ได้รับรางวัลชนะเลิศสุดยอดนวัตกรรมอาหาร Culinary Action Startup Prizes จากสถาบัน Basque Culinary Center ซึ่งเป็นสถาบันด้านการปรุงอาหารชื่อนำของโลกอีกด้วย
ความน่าสนใจของสินค้า Heura ยังไปเข้าตาของศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม CDTI (Centro para el Desarrollo Tecnologico Industrial) ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมสเปน ซึ่งเล็งเห็นถึงศักยภาพการแข่งขันของตลาดสินค้าเนื้อ Vegan ในเชิงความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงได้ให้ทุนสนับสนุนโครงการ NEOTEC (ทุนสนับสนุนการก่อตั้งและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่บริษัทเทคโนโลยีที่เพิ่งจัดตั้งใหม่ของสเปน) จำนวน 2.5 แสนยูโรแก่บริษัท Foods for Tomorrow เป็นระยะเวลา 2 ปี ซึ่งทางบริษัทก็ได้ออกมาเปิดเผยว่าทุนดังกล่าวจะช่วยเร่งการพัฒนาและขยายการผลิตสินค้าเนื้อ Vegan 100% ให้เข้าถึง
ผู้บริโภครักษ์โลกในวงกว้างมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ในด้านผลประกอบการ พบว่าธุรกิจนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2561 ได้สร้างรายได้
6 แสนยูโรและในปี 2562 เพิ่มขึ้น เป็น 2.5 ล้านยูโร หรือขยายตัว 400% ซึ่งรายได้ครึ่งหนึ่งมาจากร้านอาหารและส่วนที่เหลือมาจากการขายปลีก โดยคาดการณ์กันว่าในปี 2563 รายได้จะทะลุ 12 ล้านยูโร แสดงให้เห็นถึงความนิยมในการบริโภคอาหารมังสวิรัติที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ เทรนด์ Vegan ของประเทศในทวีปเอเชียเองก็เติบโตรวดเร็วไม่แพ้ตะวันตก โดยเฉพาะประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่เป็นประเทศเกษตรกรรม มีทั้งพืชเศรษฐกิจและวัตถุดิบสำคัญสำหรับการทำอาหารมังสวิรัติ จากผลสำรวจของบริษัทวิจัยการตลาดระดับโลกอย่าง Mintel ก็ได้พบว่าประชาชนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีชาว Vegan หน้าใหม่เพิ่มขึ้นถึง 440% ในช่วงระยะเวลาเพียง 4 ปี ตั้งแต่ 2555 - 2559 ในขณะเดียวกันประเทศไทยก็มีอัตราการเติบโตของการบริโภคอาหารมังสวิรัติอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2562 ประเทศไทยมีประชากร Vegan สูงถึง 2.3 ล้านคน
ด้วยความแรงของกระแส Vegan ที่นับวันจะขยายตัวมากขึ้น และตลาดเนื้อมังสวิรัติหรือเนื้อ Vegan ซึ่งไม่เพียงแต่จะดึงดูดผู้บริโภคที่เป็นมังสวิรัติเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้บริโภคอื่นๆ ที่ใส่ใจต่อสุขภาพหรือสิ่งแวดล้อมด้วย ผู้ประกอบการไทยจึงควรติดตามกระแสความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคมังสวิรัติ เพื่อประโยชน์ในการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ผ่านการใช้วัตถุดิบที่หลากหลายของไทยในการปรุงแต่งอาหาร Vegan และรังสรรค์เมนูซึ่งมีรสชาติแปลกใหม่ให้สามารถทดแทนการบริโภคเนื้อสัตว์ ให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ หน้า 23ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,566 วันที่ 16 - 18 เมษายน พ.ศ. 2563