สหภาพยุโรป (อียู) และเวียดนาม ได้ลงนามในข้อตกลงการค้าเสรี EVFTA แล้วเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2562 นับเป็นเหตุการณ์สำคัญที่เปิดศักราชใหม่ให้กับความสัมพันธ์ด้านการค้าการลงทุนระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย ข้อตกลงดังกล่าวจะทลายกำแพงภาษีสินค้าเกือบ 99% ของสินค้าทั้งหมดที่อียูและเวียดนามมีการค้าขายกันอยู่ในปัจจุบัน โดย 65% ของสินค้าที่อียูส่งออกมายังเวียดนาม อัตราภาษีจะหายไปในทันที สินค้าที่เหลือ 35% ภาษีจะค่อยๆ ลดลงมาจนหมดไปภายใน ระยะเวลา 10 ปี ขณะเดียวกัน 71% ของสินค้าเวียดนามที่ส่งออกไปยังตลาดอียู อัตราภาษีจะเหลือ 0% ทันทีที่ข้อตกลงนี้มีผลบังคับใช้ ที่เหลือจะค่อยๆลดลงจนหมดภายในระยะเวลา 7 ปี
ข้อตกลงการค้าเสรี EVFTA เป็นข้อตกลงทวิภาคีรูปแบบใหม่ที่ครอบคลุมประเด็นต่างๆที่หลากหลายนอกเหนือจากเรื่องสิทธิประโยชน์การค้าและการลงทุนระหว่าง กันแล้ว ยังมีประเด็นเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา (IP) การเปิด เสรีการลงทุน และการพัฒนาอย่าง ยั่งยืน ซึ่งหมายถึงการให้ความสำคัญกับมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิแรงงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) รวมทั้งการ คุ้มครองสิ่งแวดล้อมภายใต้ปฏิญญา ขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น)
บุกลงทุน 18 อุตสาหกรรมกว่า 2 พันโครงการ
อียูและเวียดนามเริ่มเจรจาเพื่อปูทางสู่การทำความตกลงการค้าเสรีฉบับนี้มาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2555 และการเจรจาลุล่วงด้วยดีในเดือนธันวาคม 2558 การลงนามให้สัตยาบันโดยรัฐสภาของทั้ง 2 ฝ่ายมีความล่าช้าเล็กน้อยเนื่องจากรายละเอียดที่ต้องไกล่เกลี่ยกันให้ลงตัวและอียูเองติดพันการทำความตกลงการค้าเสรีกับสิงคโปร์ซึ่งก็ลุล่วงด้วยดีไปก่อนหน้าแล้ว อย่างไรก็ตาม คาดว่าการให้สัตยาบันข้อตกลง EVFTA จะสำเร็จลุล่วงภายในสิ้นปีนี้
ความสัมพันธ์ของอียูและเวียดนามนั้น ถือว่าราบรื่นมาโดยตลอด สถิติ ณ สิ้นปี 2018 ชี้ว่า อียูเป็นผู้ลงทุนโดยตรง (FDI) รายใหญ่ในเวียดนามด้วยมูลค่าการลงทุนรวมมากกว่า 23,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวนโครงการลงทุน 2,133 โครงการ เฉพาะปี 2018 มูลค่าการลงทุนใหม่ของอียูในเวียดนามอยู่ในระดับเกือบๆ 1,100 ล้านดอลลาร์ สาขาการลงทุนนั้นแบ่งออกเป็น 18 อุตสาหกรรม และการลงทุนของอียูกระจายอยู่ใน 52 จังหวัด (จากทั้งหมดที่มีอยู่ 63 จังหวัด) เรียกได้ว่า อียูลงทุนเกือบจะครอบคลุมทั่วประเทศเวียดนามแล้ว โดยสาขาการลงทุนที่โดดเด่นที่สุดได้แก่ การผลิตในภาคอุตสาหกรรม การผลิตกระแสไฟฟ้า และอสังหาริมทรัพย์
เมื่อพิจารณาเป็นรายประเทศ จะพบว่าในบรรดา 24 ประเทศสมาชิกอียูที่เข้าไปลงทุนในเวียดนามนั้น เนเธอร์แลนด์เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุด ตามมาด้วยฝรั่งเศส และอังกฤษ ตามลำดับ และเมื่อมองความสำคัญในแง่การค้า เวียดนามเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 2 ของอียูในภูมิภาคอาเซียน (เวียดนามแซงหน้าทั้งอินโดนีเซียและไทย) ขณะที่อียูเองก็เป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 3 ของภูมิภาคอาเซียน
กระตุ้นจีดีพีโตเพิ่มกว่า 3%
รัฐบาลเวียดนามระบุว่า ข้อตกลงการค้าเสรี EVFTA จะช่วยกระตุ้นการส่งออกของยุโรปมายังเวียดนาม 15.28 %และจะกระตุ้นจากส่งออกสินค้าเวียดนามไปยังยุโรป 20% ภายในปีหน้า (2563) ทั้งยังจะเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ของเวียดนาม 2.18 -3.25% ต่อปีภายในปี 2566 และเพิ่มเป็น 4.57 -5.3% ระหว่างปี 2564-2571
สำหรับอุตสาหกรรมส่งออกหลักๆ ของเวียดนาม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานผลิตจำนวนมาก อาทิ เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ สมาร์ทโฟน สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า ฯลฯ รวมทั้งสินค้าเกษตร เช่น เมล็ดกาแฟ จะได้รับอานิสงส์จากข้อตกลงการค้าเสรี EVFTA ยกตัวอย่างเครื่องนุ่งห่มและรองเท้าที่เวียดนามส่งออกไปยังอียูปีละ 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อัตราภาษีจะลดลงเหลือ 0% ภายใน 7 ปี ส่วนสินค้าอิเล็ก ทรอนิกส์ นอกจากจะมีแนวโน้มมูลค่าส่งออกสูงขึ้นแล้ว เชื่อว่าจะมีการยกระดับอุตสาหกรรม-เพิ่มมูลค่าการผลิตสู่สินค้าที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้น
ในส่วนของอียูนั้น ข้อตกลงการค้าเสรีดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทของยุโรปเข้าสู่ตลาดที่เคยถูกปิดกั้นได้มากขึ้น เช่น ตลาดยา และเวชภัณฑ์ของเวียดนาม ซึ่งเมื่อข้อตกลงมีผลบังคับใช้ สินค้ากลุ่มนี้ราวครึ่งหนึ่งจะได้รับการยกเว้นภาษีในทันทีและที่เหลือจะค่อยๆลดลงจนหมดไปภายใน 7 ปี บริษัทยายุโรปยังจะได้รับอนุญาตให้เข้ามาตั้งบริษัทเพื่อนำเข้าและจำหน่ายยาให้แก่ตัวแทนจำหน่ายและผู้ค้าส่งในท้องถิ่นอีกด้วย นอกจากนี้ข้อตกลง EVFTA ยังจะเปิดตลาดให้กับสินค้าราคาสูงแต่เป็นสินค้าใช้แล้วจากอียูให้เข้าตลาดเวียดนามได้มากขึ้นโดยไร้กำแพงภาษี เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องมือทางการแพทย์ รวมถึงเครื่องบินเก่า ซึ่งต้องมีบริการซ่อมบำรุงหลังการขายตามมาด้วย
หน้า 12 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3485 ระหว่างวันที่ 7 - 10 กรกฎาคม 2562