จีนยอมรับปัจจัยเสี่ยงเพิ่ม! 'โปลิตบูโร' ยันช่วยดันเอกชนฝ่าศึกการค้า

06 พ.ย. 2561 | 06:03 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

คณะกรรมการกรมการเมือง หรือ โปลิตบูโร ซึ่งเป็นคณะบริหารที่ทรงอำนาจที่สุดของจีน นำโดย ประธานาธิบดี "สี จิ้นผิง" เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน มีมติเมื่อวันที่ 31 ต.ค. ที่ผ่านมา ว่า เศรษฐกิจจีนมีแรงกดดันเชิงลบเพิ่มมากขึ้น ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้ง ที่เกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก ดังนั้น รัฐบาลจีนพร้อมที่จะนำแผนการใหม่มาใช้สร้างการเติบโตให้กับธุรกิจภาคเอกชนและตลาดหลักทรัพย์ของจีน

xijinping

มติดังกล่าวนี้มีขึ้นหลังจากที่ตัวเลขกิจกรรมทั้งในอุตสาหกรรมภาคการผลิตและภาคบริการในเดือน ต.ค. แผ่วลงเกินคาด ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการสินค้าส่งออกของจีนลดตํ่าลงมาก ดัชนีผู้จัดการจัดซื้อ (Purchasing Managers’ Index) อย่างเป็นทางการของจีน ชี้ว่าแนวโน้มจะยังคงเป็นไปในทิศทางขาลงต่อไป ท่ามกลางบริบทที่เศรษฐกิจของจีนมาถึงจุดที่มีการขยายตัวในอัตราตํ่าที่สุดในรอบ 10 ปี ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ วิสาหกิจหลายแห่งประสบปัญหาสะสม และปัจจัยความเสี่ยงก็มีเพิ่มมากขึ้นในระยะหลายปีที่ผ่านมา แถลงการณ์ของโปลิตบูโร ซึ่งให้ความสำคัญกับสถานการณ์ในช่วงเวลานี้ ยํ้าว่า จีนจะต้องเร่งกระบวนการปฏิรูปและเปิดกว้าง เพื่อแก้ปัญหาสำคัญด้วยวิธีการที่จำเพาะเจาะจง ซึ่งจีนจะทำได้ด้วยวิถีทางของตัวเอง เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ


ไม่สนแรงกดดัน สานฝันมหาอำนาจเทคโนโลยี
นอกจากนี้ ในช่วงหนึ่งของแถลงการณ์จากคณะกรรมการกรมการเมืองของจีน ยังมีการระบุถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (Artificial Intelligence) ว่า จีนได้มีการศึกษาในเรื่องนี้ และเห็นว่าจำเป็นจะต้องส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีเอไออย่างแข็งแรงและยั่งยืน โดยจะต้องพัฒนา ควบคุม และใช้เทคโนโลยีเอไอผลักดันอนาคตของจีนให้ก้าวไปข้างหน้า พร้อมกับขั้นต่อไปของการปฏิวัติอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี การตอกยํ้าของจีนเกี่ยวกับเรื่องนี้นับเป็นการยืนยันถึงแผนยุทธศาสตร์พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีน ที่ต้องการมุ่งสู่การเป็นประเทศมหาอำนาจทางด้านเทคโนโลยี จะยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แม้ว่าจะได้รับแรงกดดันอย่างหนักจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่มักจะถล่มจีนด้วยข้อกล่าวหาว่า "เป็นโจรขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ" และมีพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรม เมื่อพูดถึงประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับทรัพย์สินทางปัญญา นายสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ยํ้าชัดว่า จีนจะต้องมีเทคโนโลยีเอไอเป็นของตนเอง


ย้ำช่วยเอกชนโตอ้าแขนรับทุนต่างชาติ
นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตว่า นี่เป็นครั้งแรกที่คณะผู้นำสูงสุดของจีนออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และยอมรับถึงผลกระทบเชิงลบที่เกิดจากสงครามการค้าที่มีกับสหรัฐอเมริกา "คราวนี้พวกเขา (คณะกรรมการโปลิตบูโร) ไม่ได้บอกว่า เศรษฐกิจมีเสถียรภาพและขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยดีอีกต่อไป"


cargoship

สำหรับแผนการสร้างความเจริญเติบโตต่อไปในอนาคตนั้น คณะกรรมการโปลิตบูโรของจีน ระบุว่า จะยังคงใช้นโยบายการเงินในเชิงรุกและนโยบายการคลังที่มีความระมัดระวัง และจะพยายามรักษาสมดุล สร้างเสถียรภาพให้กับการจ้างงาน การเงิน การค้า การลงทุน รวมถึงการให้ความสนับสนุนธุรกิจของภาคเอกชน และกระตุ้นความคึกคักของตลาดหลักทรัพย์ให้มีการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว นอกจากนี้ ยังระบุถึงประเด็นที่นักลงทุนต่างชาติอยากได้ยิน นั่นคือ "จีนจะต้องอ้าแขนต้อนรับนักลงทุนต่างชาติและรักษาผลประโยชน์ของต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศจีน" แต่คณะกรรมการโปลิตบูโรไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่องนี้

ด้านสถานการณ์การเผชิญหน้าทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนนั้น ผลกระทบที่มีต่อทั้ง 2 ฝ่าย เริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ และหลายฝ่ายกำลังจับตามาตรการขั้นต่อไปของสหรัฐฯ นั่นคือ การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนทุกรายการที่เหลือ ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 267,000 ล้านดอลลาร์ ภายในต้นเดือน ธ.ค. นี้ แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับการพบปะกันครั้งสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่างประธานาธิบดี "สี จิ้นผิง" และประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" ในระหว่างการประชุม G20 ที่กำลังจะมีขึ้นที่ประเทศอาร์เจนตินา ในเดือน พ.ย. นี้ ว่า จะเกิดจุดเปลี่ยนไปในทางที่คลี่คลายขึ้นบ้างหรือไม่ ถ้าหากประธานาธิบดีทรัมป์เดินหน้าตั้งกำแพงภาษีตามที่ขู่ไว้ ก็เชื่อว่าภาคการผลิตของจีนจะแผ่วกำลังการผลิตลงอย่างชัดเจนในช่วงต้นปีหน้า เมื่อการประกาศขึ้นภาษีเริ่มมีผลบังคับใช้และส่งผลให้ความต้องการนำเข้าสินค้าจีนลดฮวบลง

บทความ | หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3,415 ระหว่างวันที่ 4-7 พฤศจิกายน 2561

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว