นักวิชาการชี้ ประเทศเล็กต้องรวมตัว สร้างอำนาจต่อรองสหรัฐฯ

23 เม.ย. 2568 | 22:56 น.

รศ.ดร.สมภพ ชี้ประเทศเล็กต้องรวมพลังเจรจา หวังเพิ่มน้ำหนักต่อรองสหรัฐฯ พร้อมเตือนไทยอย่าชักศึกเข้าบ้าน หรือตกเป็นเครื่องมือในเกมมหาอำนาจ

รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ให้สัมภาษณ์พิเศษกับฐานเศรษฐกิจ ในรายการฐานทอล์ค วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ที่คณะผู้แทนไทยยังไม่ได้คิวเข้าพบทีมงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อเจรจาประเด็นมาตรการขึ้นภาษีนำเข้า แม้จะเดินทางไปถึงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. แล้ว

ท่ามกลางความกังวลของนักลงทุนและผู้ประกอบการไทย รศ.ดร.สมภพได้อธิบายโครงสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ โดยแบ่งประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ออกเป็น 2 กลุ่มหลักเรียกว่ากลุ่ม 60 กับกลุ่ม 40 โดยกลุ่ม 60 ก็คือกลุ่มใหญ่ที่มีการค้ากับสหรัฐฯมากๆ ประกอบไปด้วยเม็กซิโก จีน แคนาดา เยอรมนี ญี่ปุ่น เหล่านี้เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ารวมอียูด้วย จะมีการส่งออกไปสู่สหรัฐอเมริกาไม่ต่ำกว่า 60% ของการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ

สำหรับประเทศไทย ดร.สมภพชี้ว่าอยู่ในกลุ่ม 40% ที่เหลือซึ่งรวมประเทศอื่นๆ อีก 100กว่าประเทศ โดยไทยมีสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพียง 2% ของการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าปีละประมาณ 33 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นการให้ความสำคัญต่อกลุ่ม 40 ก็จะมีน้อยมาก

นักวิชาการชี้ ประเทศเล็กต้องรวมตัว สร้างอำนาจต่อรองสหรัฐฯ

ดร.สมภพยกตัวอย่างกรณีของญี่ปุ่นซึ่งส่งออกไปสหรัฐฯ คิดเป็นประมาณ 4% ของการนำเข้าทั้งหมด แต่การเจรจากับทรัมป์และทีมงานแทบไม่ได้ผลอะไร
"เพราะตัวแทนรัฐมนตรีของญี่ปุ่นไปตั้งคำถามว่า สหรัฐอเมริกาต้องการให้ญี่ปุ่นทำอะไรบ้าง สหรัฐอเมริกาก็ไม่ได้ตอบสนอง เพียงแต่เสนอว่าญี่ปุ่นจะให้อะไรแก่อเมริกาบ้าง" ดร.สมภพอธิบาย

ทัศนคติของญี่ปุ่นเปลี่ยนไปหลังการเจรจา โดยนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ออกมาระบุชัดเจนว่า การเจรจาเรื่องการค้าระหว่างญี่ปุ่นกับอเมริกานั้น ไม่ต้องการให้พ่วงเรื่องความมั่นคง เช่น เรื่องค่าใช้จ่ายในการที่ฐานทัพอเมริกาประจำอยู่ในญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันญี่ปุ่นจ่ายให้สหรัฐฯ ประมาณ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี และไม่ต้องการให้มีการกดดันเรื่องค่าเงินเยนให้แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะกระทบทั้งการส่งออกและตลาดหุ้นญี่ปุ่น

สำหรับสถานการณ์ในอาเซียนใหญ่สุดก็ได้จากไปเวียดนามก็ประมาณ 4% นอกนั้นก็เปรียบเทียบเหมือนปลาซิว ปลาสร้อย ส่วนประเทศไทย ก็อาจจะเป็นปลาหมู ปลารากกล้วยแต่เราไม่ได้ใหญ่โตมากขนาดญี่ปุ่นซึ่งเป็นปลาตะเพียน สหรัฐฯยังไม่ให้ความสนใจเลย เพราะสหรัฐฯให้ความสนใจต่อบรรดาปลาฉลาม ปลาวาฬอย่างจีน อย่างเม็กซิโก อย่างแคนาดา อย่างอียู

นักวิชาการชี้ ประเทศเล็กต้องรวมตัว สร้างอำนาจต่อรองสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดร.สมภพได้นำเสนอแนวทางว่า ประเทศขนาดเล็กในกลุ่ม 40% หรือที่เรียกว่า "ปลาตัวเล็กตัวน้อย" ควรเปลี่ยนยุทธศาสตร์การเจรจา โดยต้องหาทางสร้างพลังอำนาจในการต่อรองให้เพิ่มมากขึ้น ก็คือรวมบรรดาปลาเล็กปลาน้อยให้เป็นฝูงปลาขนาดใหญ่ เหมือนเอาไม้ซีกหลายๆ ไม้ซีกมารวมกัน เพื่อทำให้เกิดความสำคัญในสายตาสหรัฐฯมากขึ้น

ดร.สมภพยังชี้ให้เห็นว่า การที่สหรัฐฯ ไม่ให้ทีมงานของไทยเข้าพบขณะที่อยู่ในวอชิงตัน ดี.ซี. แล้ว แสดงให้เห็นว่าข้อเสนอของไทย 5-6 ข้อที่เสนอไปนั้น ไม่ได้รับความสนใจ แต่ยุทธศาสตร์การเจรจากับทีมของทรัมป์ในอนาคต มี 2 เรื่องที่ไทยต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง

ประการแรกคือ ระวัง“การชักศึกเข้าบ้าน” ก็คือเวลาเปิดอะไรให้แก่อเมริกาแล้ว ต้องระวังไม่ให้เกิดความขัดแย้งอย่างมาก ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองภายในประเทศ เพราะถ้าขัดแย้งกันมากๆ เผชิญหน้ากันมากๆ ตนเองคิดว่าเศรษฐกิจ สังคม การเมืองไทยที่เป็นอยู่ในขณะนี้ จะรับมือไม่ไหว และอาจจะนำไปสู่การเกิดวิกฤตการณ์

ไม่ใช่เฉพาะเศรษฐกิจอย่างเดียว อาจจะเป็นเรื่องการเมือง ความมั่นคงด้วย
เช่น หากต้องการให้สหรัฐฯเปิดทางสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ มือถือ เซมิคอนดักเตอร์ แล้วเอาสินค้าเกษตรไปแลกนั้น เกษตรกรอาจจะไม่พอใจ ก็อาจจะออกมาเดินขบวนออกมาปิดถนน

นักวิชาการชี้ ประเทศเล็กต้องรวมตัว สร้างอำนาจต่อรองสหรัฐฯ

ส่วนประเด็นที่สองที่ต้องระวัง คือ จะต้องไม่ให้ประเทศไทยกลายเป็นหมากที่ทำให้สหรัฐอเมริกา และทีมงานใช้เดินเกมเพื่อไปกดดันชาติอื่น พร้อมอธิบายว่า ไทยต้องไม่ลืมว่าชาติมหาอำนาจอย่างจีนได้ประกาศชัดเจนแล้วว่า ชาติใดที่ไปเล่นตามเกมอเมริกา และกระทบต่อผลประโยชน์ของจีนมากๆ จีนก็จะตอบโต้ทั้งในด้านห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกัน และอาจส่งผลกระทบไปถึงด้านการท่องเที่ยวด้วย

ดร.สมภพสรุปว่า ไทยต้องคิดให้รอบคอบว่าจะมีการบริหารท่าทีอย่างไรที่จะนำไปสู่การเจรจาที่เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย