น่าเกลียดมั้ย? ทิ้งทวนเฉียด 2 แสนล้าน ก่อนยุบสภา

18 มี.ค. 2566 | 02:30 น.

น่าเกลียดมั้ย? ทิ้งทวนเฉียด 2 แสนล้าน ก่อนยุบสภา : คอลัมน์ฐานโซไซตี โดย... ว.เชิงดอย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3871

คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3871 ระหว่างวันที่ 19-22 มี.ค.2566 โดย “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย

ไม่รู้เป็นทุกรัฐบาลหรือเปล่า ที่เวลาเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของรัฐบาล ก่อนหมดวาระจะต้องมีการ “ทิ้งทวน” อนุมัติงบโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงการที่จะส่งผลต่อ “คะแนนนิยม” ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น อย่างการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันอังคารที่ 14 มี.ค. 2566 ที่ผ่านมา ก่อนที่ “รัฐบาลประยุทธ์ 2” จะครบวาระการเป็นรัฐบาล 4 ปี ในวันที่ 23 มี.ค.นี้ ก็เทกระจาดอนุมัติงบนัดสุดท้าย 8 เรื่องสำคัญเป็นเงินงบประมาณ กว่า 1.7 แสนล้านบาท ทั้ง ขึ้นเงินเดือน กำนัน – ผู้ใหญ่บ้าน, ลดราคาน้ำมันดีเซลต่ออีก 2 เดือน, ผ่านสัญญาคลื่นความถี่ 700 ให้ บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติดำเนินงาน ทั้งอนุมัติประกันราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

*** ไปไล่เลียงดูว่า ครม.นัดส่งท้าย ที่มี บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุม ก่อนที่จะประกาศ “ยุบสภา” ทำให้มีวาระเข้าสู่การพิจารณา และพิจารณาจรเป็นจำนวนมากรวมมากกว่า 100 วาระ และใช้เวลาการประชุมราว 7 ชั่วโมง และมีการอนุมัติโครงการที่ต้องใช้เงินงบประมาณ การลดภาษี การชดเชยงบประมาณให้กับสถาบันการเงิน  รวมวงเงินกว่า 173,850.91 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้

*** 1.ครม.เห็นชอบ ให้บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ดำเนินโครงการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 4G/5G บนคลื่น 700 เมกะเฮิรตซ์(MHz) มีกรอบวงเงินตามโครงการทั้งสิ้น 61,628  ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินโครงการ 14 ปี โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดบริการได้ภายในปี 66 เป็นต้นไป

 

โดยโครงการนี้ บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ จะนำคลื่นความถี่ 700 MHz ที่ได้จากการประมูลมาให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยใช้เทคโนโลยี 4G/5G ให้ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ รองรับผู้ใช้บริการรายเดิมบนคลื่น 850 MHz, 2100 MHz และ 2300 MHz ที่สิทธิการใช้คลื่นของ บจม.โทรคมนาคมกำลังจะสิ้นสุดลงในวันที่ 3 ส.ค. 2568

รวมถึงเพิ่มจำนวนผู้ใช้รายใหม่ๆ ตามแผนการตลาด และเป็นการวางพื้นฐานสำหรับการขยายธุรกิจในอนาคต โดยมีกลุ่มเป้าหมายทั้งส่วนของลูกค้ารายย่อย 3.6 ล้านราย และกลุ่มนักท่องเที่ยวขาเข้า 2-4 แสนซิมต่อปี ตลอดจนกลุ่มลูกค้าทดแทนโทรศัพท์พื้นฐาน จำนวน 9 แสนเลขหมาย สำหรับกรอบวงเงินดำเนินการ 61,628 ล้านบาท 

*** 2.อนุมัติให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ดำเนินโครงการทางพิเศษฉลองรัชส่วนต่อขยาย (ช่วงจตุโชติ-ถนนลำลูกกา) ระยะทาง 16.21 กม. เพื่อรองรับการเดินทางและการขนส่งสินค้าระหว่างพื้นที่ กทม. และจังหวัดใกล้เคียง ช่วยบรรเทาปัญหาจราจรติดขัดบนถนนรังสิต-นครนายก และโครงข่ายถนนโดยรอบ รวมถึงเพิ่มทางเลือกการเดินทางของประชาชนระหว่างจังหวัดปทุมธานี และจังหวัดใกล้เคียงเข้าสู่กรุงเทพฯ ชั้นใน มีมูลค่าการลงทุน 24,060.04 ล้านบาท

*** 3.อนุมัติเพิ่มเงินค่าตอบแทนกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ รวมทั้ง ผู้บริหาร และสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) รวมกว่า 18,570.34 ล้านบาท มีผลตั้งแต่ 1 ต.ค.2566 เป็นต้นไป 

*** 4.ครม.เห็นชอบโครงการประกันรายได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 65/66 และมาตรการคู่ขนานสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ วงเงินสินเชื่อ วงเงินรวม 1,716.10 ล้านบาท แบ่งเป็นประกันรายได้ 716.10 ล้านบาท และโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี 2565/2566 วงเงินสินเชื่อ 1,000 ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ

                           น่าเกลียดมั้ย? ทิ้งทวนเฉียด 2 แสนล้าน ก่อนยุบสภา

*** 5.ครม.เห็นชอบหลักการโครงการโคล้านครอบครัว วงเงิน 5,000 ล้านบาท ทั้งนี้ รัฐจะชดเชยต้นทุนการเงินให้สถาบันการเงิน (ธ.ก.ส.) อัตราร้อยละ 4 ต่อปี  ภายในวงเงิน  600 ล้านบาท โดยในปีแรกให้ใช้งบประมาณจากโครงการเพิ่มทุนกองทุนหมู่บ้าน และชุมชนเมือง ระยะที่ 3 จำนวน 350  ล้านบาท เพื่อชดเชยต้นทุนการเงินให้กับสถาบันการเงิน ภายในวงเงิน 200 ล้านบาทและงบบริหารโครงการ ภายในวงเงิน 150  ล้านบาท

และให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ตั้งงบประมาณเพื่อชดเชยต้นทุนการเงินให้สถาบันการเงินในปีที่ 2-4 ภายในวงเงิน 400  ล้านบาท  โดยกลุ้มเป้าหมายคือ กองทุนหมู่บ้านฯ จำนวน  79,610 กองทุน

*** 6.ครม.อนุมัติแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด พ.ศ.2566-2570 ฉบับทบทวน ซึ่งได้มีการนำเสนอข้อมูลสำคัญด้านต่างๆ เพื่อประกอบการวิเคราะห์ กำหนดประเด็นการพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่สอดคล้องกับศักยภาพ ตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายที่เหมาะสมและเป็นไปได้ และให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดนำความเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ ไปปรับปรุงแผนที่เกี่ยวข้องต่อไป พร้อมกับอนุมัติแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567  ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด รวมทั้งสิ้น 1,747  โครงการ วงเงินรวม 41,903.46 ล้านบาท 

*** 7.ครม.อนุมัติการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่อัตรา 5 บาท ต่อลิตรต่อไปอีก 2 เดือน จากเดิมที่สิ้นสุดระยะเวลาการลดภาษีฯ ในวันที่ 20 พ.ค. 2566 ไปเป็นวันที่ 20 ก.ค. 2566 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนและภาคธุรกิจ จากสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบที่ยังคงผันผวน โดยกระทรวงการคลัง ประเมินผลกระทบต่อรายได้ของรัฐและผลกระโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับประมาณ 10,000 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งระยะเวลาการดำเนินการในครั้งนี้ ประมาณ 2 เดือน จึงคาดว่ารัฐจะสูญเสียรายได้ประมาณ 20,000 ล้านบาท 

*** และ 8.ครม.อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ก่อหนี้ผูกพันวงเงิน 867.88 ล้านบาท สำหรับดำเนินการจัดนิทรรศการในงาน Expo 2025 Osaka Kansai ที่ประเทศญี่ปุ่น สำหรับดำเนินโครงการจัดแสดงนิทรรศการในงาน Expo 2025 Osaka Kansai ณ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งสิ้น 867.88 ล้านบาท

สำหรับความจำเป็นในการขออนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีครั้งนี้ เนื่องจากตามแผนการเข้าร่วมงานมีกำหนดการรับมอบพื้นที่สำหรับก่อสร้างอาคารนิทรรศการไทย(Thailand Pavilion) ในการจัด Expo ในเดือน เม.ย.2566  ดำเนินการจัดเตรียมสถานที่สร้างอาคารจัดนิทรรศการ ตั้งแต่ พ.ค. 2566 - ต.ค. 2567 

*** ดูเอาเถอะครับว่าก่อนสิ้นสุดรัฐบาล มีการทิ้งทวนโครงการอะไรบ้าง ทิ้งทวนก่อนที่จะ “ยุบสภา” ก่อนรัฐบาลครบวาระในวันที่ 23 มี.ค. 2566 ไม่กี่วัน ก่อนไปสู่การเลือกตั้ง 7 พ.ค. หรือ 14 พ.ค. 2566 เพราะหากพ้นวันที่ 23 มี.ค.ไป ก็จะเข้าสู่สถานะ “รัฐบาลรักษาการ” การที่จะไปอนุมัติอะไรที่เป็นการ “ก่อหนี้ผูกพัน” ก็ดูจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่ ดังนั้นจึงได้เห็นการเทกระจาดทิ้งทวนดังกล่าว ...น่าเกลียดไม่น่าเกลียด เอาเปรียบไม่เอาเปรียบ กับการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นตรองดูเอาเถิด...