"เจษฎ์ โทณะวณิก"วิเคราะห์ตั้งรัฐบาล ก้าวไกล เปิดศึกรอบด้าน รวมเสียงหนุนยาก

24 พ.ค. 2566 | 11:18 น.

"รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก"วิเคราะห์การจัดตั้งรัฐบาลพรรคก้าวไกล ให้มีสปิริตเหมือนเพื่อไทย เตือนอย่าปลุกคนลงถนน เปิดช่องลุงตู่อยู่ต่อ ชี้ก้าวไกลเปิดศึกรอบด้าน รวมเสียงสนับสนุนได้ยาก

รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย ให้สัมภาษณ์พิเศษกับฐานเศรษฐกิจถึงฉากทัศน์การเมืองไทยหลังจากพรรคก้าวไกล ได้แถลงMOU กับพรรคร่วมรัฐบาลว่า การจัดตั้งรัฐบาลไม่น่าจะมีความเรียบร้อยเท่าที่ควร เนื่องจากตามธรรมเนียมของระบบรัฐสภา พรรคที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุดจะได้สิทธิเป็นพรรคแรกในการจัดตั้งรัฐบาล ถ้าจัดแล้วไม่สำเร็จ ก็จะเป็นสิทธิของพรรคลำดับต่อๆไปมีสิทธิจัดตั้งรัฐบาล

ปกติที่เคยเกิดขึ้น พรรคอันดับ1และอันดับ2 มักไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน เพราะพรรคอันดับ1 และ2 มักจะมีขนาดใหญ่พอๆกัน เว้นแต่จะมีคะแนนที่ห่างกันอย่างมาก เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะ การเจรจาเพื่อแบ่งงานบริหารมักไม่ค่อยลงตัว เนื่องจากเกิดความทับซ้อนกัน และภาคประชาชนเองย่อมไม่ต้องการเห็นเสียงข้างมากที่มากจนเกินไป เพราะจะเกิดการใช้อำนาจในทางมิชอบได้โดยง่าย หรือ "เผด็จการรัฐสภา"

พรรคเพื่อไทยอาจไม่จับมือกับพรรคก้าวไกล หากการโหวตไม่มีสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว) เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเสียงของพรรคเพื่อไทยรวมกับพรรคก้าวไกล ก็ยังไม่เกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา จึงต้องมีการเจรจาเพื่อหาเสียงเพิ่มทั้งจากส.ส. และส.ว. และหากผลของการเจรจา ไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ส.พรรคอื่นๆเช่น ภูมิใจไทย,ประชาธิปัตย์ ,พลังประชารัฐ และรวมไทยสร้างชาติ ก็จำเป็นต้องขอเสียงสนับสนุนจากส.ว.ซึ่งวิธีกดดัน ด่าทอ เสียดสีทิ่มแทง หรือข่มขู่คุกคามทั้งออนไลน์ ออฟไลน์นั้น ก็ยากที่จะเกิดความเรียบร้อย

รัฐบาลก้าวไกล

อ.เจษฎ์ ได้ย้อนภาพการเลือกตั้ง ปี 2562 พร้อมระบุว่า พรรคก้าวไกลควรศึกษา เพราะขณะนั้นพรรคเพื่อไทยเป็นตัวอย่างที่ดี ในการเคารพกติกา แม้พรรคจะได้จำนวนส.ส.มากเป็นอันดับที่ 1 แต่ไม่สามารถรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภาเพื่อโหวตนายกฯ ก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ 

และพรรคก้าวไกลไม่ควรพูดว่า จะไม่เป็นอย่างพรรคเพื่อไทย เพราะจะถือเป็นการปรามาสพรรคเพื่อไทย เหมือนเช่นที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กล่าวในศาลว่า ตนเองไม่เป็นอย่างนายทักษิณ ซึ่งเชื่อว่าความคิดเช่นนี้  ยังคงอยู่ในตัวใครหลายๆคนของพรรคก้าวไกล และคณะก้าวหน้า และในวันนี้เชื่อว่า หลายคนรู้สึกว่าเอาชนะนายทักษิณได้

"เพราะฉะนั้น หากพรรคก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แล้วพรรคเพื่อไทยจะเป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล พรรคก้าวไกลจะไปว่าได้อย่างไร หากพิจารณาจะเห็นได้ว่า พรรคเพื่อไทยได้รับผลกระทบมากที่สุดจากกติกานี้ ในปี 2562 แต่พรรคเพื่อไทยมีสปิริตที่ยอมรับกติกา และไม่ได้มีการลงถนน ฉะนั้นหากครั้งนี้เกิดการไม่ยอมรับกติกา ก็มีแนวโน้มที่จะเกิดความวุ่นวายได้"

ม็อบกดดัน ส.ว.

ฉากทัศน์ต่อมาที่อ.เจษฎ์ กล่าวถึงคือ หากในสภามีการเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ แต่มีเสียงโหวตไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสองสภา แต่หากให้เพื่อไทยสามารถเสนอชื่อนายกฯได้ด้วย แล้วน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือนายเศรษฐา ทวีสิน ได้รับเสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งของสองสภา โดยที่ไม่ได้ผูกมัดพรรคก้าวไกลว่าต้องโหวตให้แต่อย่างใด สถานการณ์เช่นนี้จะถือว่าพรรคเพื่อไทยไม่มีสปิริตได้อย่างไร

"การที่พรรคก้าวไกลเปิดศึกรอบด้าน ทั้งการไล่หนูไปอยู่กับแมลงสาบ ,การด่าทอส.ว. ,ขับไล่ 2ลุง แล้วจะมีเสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้นมาได้อย่างไร แม้จะมีการปรับท่าทีให้อ่อนลงในขณะนี้ ก็ยังต้องตระหนักว่า การปรับท่าทีเพื่อให้ตนเองบรรลุความต้องการ กับการปรับเพราะความสำนึกนั้นแตกต่างกัน ซึ่งหากไม่สามารถโหวตนายกฯ ตั้งรัฐบาลได้ นั่นหมายถึง 2ลุงยังคงรักษาการต่อไป ทั้งแมลงสาบ ทั้งหนู ที่ถูกขับไล่ ก็ยังรักษาการต่อไป"

แถลง MOU

สำหรับการใช้วันครบรอบ 9ปี รัฐประหาร เป็นวันประกาศ MOU นั้น อ.เจษฎ์ให้ความเห็นว่า แม้จะใช้วันเชิงสัญลักษณ์ ว่าสามารถเอาชนะรัฐประหารได้ ซึ่งต่อให้ชนะการเลือกตั้งได้ ชนะ 2ลุงได้ แต่จะเรียกว่าชนะรัฐประหารไม่ได้ 

เพราะการชนะรัฐประหารนั้น แปลว่า ทำรัฐประหารแล้ว ไปได้ไม่ตลอด คณะรัฐประหารต้องถอย คณะรัฐประหารถูกจับกุม หรือมีผู้คนออกมาสกัดขัดขวาง ทำให้การดำเนินการของคณะรัฐประหารนั้นต้องยุติลง ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ซึ่งไม่ใช่เหตุการณ์นี้ที่การรัฐประหารนั้นได้จบลงตั้งแต่มีการเลือกตั้ง พ.ศ. 2562 แล้ว ถือเป็นคนละเรื่องกันแล้ว สิ่งที่จะทำได้คือ การป้องกันไม่ให้เกิดรัฐประหารขึ้น ด้วยการสร้างกลไกในการจัดการกับการรัฐประหาร ไม่ให้บรรลุผลไปได้

ในวันนี้ต้องรู้จักคำว่าก้าวข้าม เหมือนเช่นการก้าวข้ามนายทักษิณ ชินวัตร จะเห็นได้จากการที่นายทักษิณระบุว่าจะกลับมาประเทศไทย ยอมติดคุก และจับมือกับพรรคก้าวไกล ก็สะท้อนว่านายทักษิณเองก็ได้ก้าวข้ามปัญหาบางประการแล้ว และสังคมไทยก็ได้ก้าวข้ามนายทักษิณไปแล้วในระดับหนึ่ง เช่นเดียวกันกับการก้าวข้ามรัฐประหาร และไม่มองว่า ส.ว. 250 คนคือส่วนหนึ่งของรัฐประหาร

ในส่วนของ MOU หรือ Memorandum of Understanding หมายถึง บันทึกความเข้าใจ แปลว่า ไม่มีผลผูกพันธ์ เปรียบเทียบเหมือนการหมั้น ที่สามารถถอนหมั้นได้  ไม่สามารถเรียกว่าเป็นคู่สมรส หรือสามีภรรยาได้ 

ปัญหาที่มองว่าจะเกิดขึ้นเพราะ 1. พลพรรคก้าวไกลทั้งที่เป็น และไม่เป็นส.ส. ไม่พยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ 2. ผู้สนับสนุนไม่ยอมรับกติกา 3. สถานการณ์จะแย่ลงหากมีการดึงคนนอก หรือต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง 4. หากมีการใช้เรื่องการลงถนน หรือเคลื่อนไหวข่มขู่ในโลกออนไลน์ จะทำให้เกิดความไม่สงบ 

สำหรับวันเลือกประธานสภา ถือเป็นการชี้วัดได้ในระดับหนึ่ง โดยผู้ที่จะมาทำหน้าที่เป็นผู้นำสภา ควบคุมสถานการณ์ สร้างความสงบเรียบร้อยในสภา ควรเป็นผู้ที่ได้รับเสียงสนับสนุนมากที่สุด ซึ่งพรรคก้าวไกลอาจเป็นประธานสภาเอง หรือปล่อยให้พรรคเพื่อไทยเป็นก็ได้ แต่หากวันเลือกประธานสภาปรากฏภาพการเสนอชื่อคนของพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทยก็เสนอด้วย จะเป็นการสะท้อนภาพความไม่ลงรอยกันเกิดขึ้น

ในทางการเมือง การเดินเกมที่อยู่ภายใต้กติกา โดยมีการตกลง ต่อรอง หรือหาพันธมิตร ถือเป็นเรื่องปกติที่จะกล่าวหาว่าไม่ดีก็ไม่ได้ แตกต่างจากการเล่นเกมที่สกปรก ไม่เคารพกติกา ไม่ชอบธรรม หรือเอาแต่ใจตัวเอง แบบนั้นจึงจะมีปัญหา จะเห็นได้จากการที่นายทักษิณเอง ก็ยังออกมายอมรับเรื่องการสร้างกระแสในออนไลน์ว่าตนเองสู้พรรคก้าวไกลไม่ได้ในแง่นี้ และหากพรรคการเมืองอื่นๆจะใช้วิธีเจรจา หาพันธมิตรสนับสนุน ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดสำหรับการเมืองแม้แต่ในนานาอารยประเทศ

อ.เจษฎ์ กล่าวทิ้งท้าย ถึงสถานการณ์ต่อจากนี้ว่า สิ่งที่ต้องตระหนักคือ พรรคก้าวไกลกำลังคำนึงถึงเพียงความถูกใจของตนเองหรือไม่ เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็จะนำไปสู่การลงถนน  และหากการชุมนุมมีเหตุการณ์ลุกลามบานปลาย ย่อมจะพาสถานการณ์ไปสู่การถูกควบคุมโดยรัฐบาลรักษาการต่อไป

แต่หากการลงถนนเกิดขึ้นจากความไม่พอใจที่พรรคเพื่อไทยสามารถรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ จะยิ่งเป็นการเสียความชอบธรรมของฝ่ายพรรคก้าวไกลและผู้สนับสนุน ซึ่งฉากทัศน์นี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้สูง

แม้พรรคก้าวไกลสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ การบริหารก็ไม่ง่าย เนื่องจากพรรคก้าวไกลเปิดศึกรอบด้าน ข้าราชการอาจมีแนวทางที่เคยปฏิบัติมา และยังคงยึดถือปฏิบัติต่อไปโดยไม่ปฏิบัติตามแนวทางของพรรคก้าวไกล ที่ข้าราชการมองว่าอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติบ้านเมือง