ภายหลังการประกาศยุบสภาและก้าวเข้าสู่สนามเลือกตั้ง 2569 อย่างเต็มตัว หลายพรรคเริ่มทยอยประกาศนโยบายออกมาเพื่อหาเสียงเลือกตั้ง หนึ่งในนโยบายที่ถูกหยิบยกมาเป็นเรือธงของพรรคใหญ่ คือ นโยบายด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI )
โดย 2 พรรคใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทย และ พรรคประชาชน หยิบมาประชันกันเพื่อชิงพื้นที่ความสนใจจากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
พรรคเพื่อไทย ชูความพร้อมในการยกระดับบริการรัฐ ขณะที่พรรคประชาชนเสนอการปฏิรูปเชิงโครงสร้างด้วยงบลงทุนมหาศาล
เพื่อไทย ชู AI ยกระดับคุณภาพชีวิตและบริการสาธารณะ
พรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ศ.ดร. ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ยืนยันว่านโยบาย AI ของพรรคไม่ใช่เพียงคำสวยหรูแต่สามารถ "ทำได้จริง" ในเชิงระบบ ผ่าน 5 แผนงานหลักที่เน้นการแก้ปัญหาให้ประชาชนโดยตรง:
ยกเครื่อง 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วย AI : มุ่งสร้างเวชระเบียนมาตรฐานเดียวเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ โดยใช้ต้นแบบจาก Agent Hospital ของต่างประเทศมาช่วยบุคลากรการแพทย์ลดภาระงานเอกสาร เพิ่มความแม่นยำในการรักษา และให้หมอมีเวลาดูแลคนไข้ได้จริง
ยกระดับเกษตรกรด้วย AI : พัฒนาเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) โดยใช้ AI คาดการณ์ผลผลิตและความเสี่ยงตามโมเดล AGRI4CAST ของยุโรป และระบบ GIEWS ของ FAO พร้อมใช้ AI Chatbot ให้คำแนะนำด้านเกษตรกรรม
ทุกคนเรียนหลักสูตร AI ฟรี: ขยายสเกลการเรียนรู้ AI ให้เป็นวิชาพื้นฐานเหมือนภาษาอังกฤษ บรรจุในทุกระดับชั้นเพื่ออัปเกรดทักษะคนไทยสู่ระดับสากล
Smart City และความปลอดภัย: ใช้เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุ (Object Detection) ในกล้องอัจฉริยะเพื่อลดอาชญากรรมและอุบัติเหตุ พร้อมสนับสนุนอินเทอร์เน็ตราคาประหยัดเข้าถึงทุกพื้นที่
รัฐดิจิทัลโปร่งใสและทนาย AI: สร้าง Super-app เพื่อความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง และพัฒนา AI Guide เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลกฎหมายเบื้องต้นได้ฟรี ตามโมเดลที่ Stanford ทำร่วมกับหน่วยงานยุติธรรมในสหรัฐฯ
พรรคประชาชน ปฏิรูปโครงสร้างรัฐสู่ “Platform State”
พรรคประชาชน นำโดยแคนดิเดตนายกฯ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ เสนอยุทธศาสตร์เน้นการลงทุนเชิงรุกเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างระบบราชการและอุ้มชูผู้ประกอบการเทคโนโลยีไทย:
ลงทุน 30,000 ล้านบาท ปฏิรูปสาธารณสุข: จัดหาเครื่องมือแพทย์และ Medical AI เพื่อลดภาระหมอ โดยใช้กลไกการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐสร้างตลาดให้สินค้าไทย (Made in Thailand) ตามกรอบความปลอดภัยของ WHO
ลงทุนการศึกษา 50,000 ล้านบาท: ในระยะเวลา 4 ปี (2570 - 2573) เพื่อสร้าง Maker Space และบรรจุหลักสูตร Coding/AI พร้อมอัปเกรดอาชีวะสู่ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์
ยกระดับธุรกิจไทยด้วย Digital & AI: ส่งเสริมซอฟต์แวร์ไทยผ่านระบบ Voucher และสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยมีต้นแบบจาก SMEs Go Digital ของสิงคโปร์ เพื่อคุ้มครอง SME ภายใต้การแข่งขันที่เป็นธรรม
จัดการป่ายั่งยืนด้วย One Map + AI : ใช้ Deep Learning และดาวเทียมพิสูจน์สิทธิที่ดินและตรวจบุกรุกป่าแบบ Real-time ตามแนวทาง One Map Policy เพื่อลดข้อพิพาทเรื่องที่ดินของรัฐทับซ้อน
การเริ่มต้นประชันนโยบายในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าทั้ง 2 พรรคมีฐานข้อมูลความสำเร็จจากต่างประเทศรองรับอย่างชัดเจน โดยพรรคเพื่อไทย เน้นการบริการที่คล่องตัวที่เข้าถึงประชาชนได้ทันที ขณะที่พรรคประชาชน เน้นการใช้เม็ดเงินลงทุนก้อนใหญ่เพื่อปฏิรูปเชิงโครงสร้าง
จุดแข็งและความท้าทาย
เพื่อให้เห็นภาพเปรียบเทียบชัดเจนก่อนเข้าสู่คูหาเลือกตั้ง ประเด็นตัดสินความสำเร็จของทั้ง 2 พรรคมีปัจจัยสำคัญดังนี้:
พรรคเพื่อไทย
จุดแข็ง: มีอำนาจรัฐเดิมและฐานข้อมูลหมอพร้อมที่แข็งแกร่ง มีวัตถุดิบข้อมูลเพียงพอที่จะเริ่มใช้งาน AI ได้ทันที
ความท้าทาย: การฝ่าด่านระบบราชการเพื่อเชื่อมข้อมูลมหาศาลจากหน่วยงานที่ต่างกันให้เป็นมาตรฐานเดียว
กลยุทธ์: เน้นบริการสาธารณะที่เข้าถึงง่าย (Service-Oriented) เพื่อลดรายจ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ชีวิต
พรรคประชาชน
จุดแข็ง: พื้นฐานความเชี่ยวชาญด้านไอทีของผู้นำพรรค เข้าใจการวางระบบโครงสร้างดิจิทัลสมัยใหม่ในเชิงเทคนิค
ความท้าทาย: การจัดสรรงบประมาณ 8 หมื่นล้านท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งต้องพิสูจน์ความคุ้มค่าและความเร่งด่วนเมื่อเทียบกับปัญหาปากท้องอื่นๆ
กลยุทธ์: เน้นปฏิรูปโครงสร้างและสร้างอุตสาหกรรม (Industry-Oriented) เพื่อปั้น Ecosystem เทคโนโลยีไทยให้ยืนได้ด้วยตัวเอง
ความท้าทายสำคัญที่สังคมกำลังจับตามองคือ การบริหารจัดการงบประมาณและการฝ่าด่านระบบราชการเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลมหาศาล ซึ่งจะเป็นบทพิสูจน์ว่านโยบายเหล่านี้จะเป็น "จุดเปลี่ยนประเทศ" ได้จริง หรือเป็นเพียง "การขายฝัน" ของทั้ง 2 พรรคการเมืองใหญ่ ที่มีโอกาสเข้ามาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หลังการเลือกตั้งในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569