4 บิ๊กเทคโลก เร่งลงทุน AI ทุบสถิติงบรายจ่ายกว่า 12 ล้านล้านบาท

28 พ.ย. 2568 | 03:49 น.
อัปเดตล่าสุด :28 พ.ย. 2568 | 04:02 น.

4 บิ๊กเทค Amazon, Alphabet, Microsoft และ Meta ทุ่มงบลงทุน AI พุ่งทะลุ 12 ล้านล้านบาท ในปี 2568 หนุนการเติบโตในยุคปัญญาประดิษฐ์ พร้อมเปิดโครงสร้างพื้นฐานรองรับการใช้งาน AI ทั่วโลก

KEY

POINTS

  • 4 บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ (Amazon, Alphabet, Microsoft, Meta) คาดว่าจะทุ่มงบลงทุนด้าน AI รวมกันสูงถึง 12.12 ล้านล้านบาทภายในปี 2568
  • ยอดการลงทุนดังกล่าวเพิ่มขึ้นกว่า 2.4 เท่าจากปี 2565 สะท้อนการแข่งขันที่รุนแรงในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI, ศูนย์ข้อมูล และคลาวด์คอมพิวติ้ง
  • Amazon เป็นผู้ลงทุนสูงสุดด้วยงบประมาณ 3.90 ล้านล้านบาท ตามมาด้วย Alphabet (3.02 ล้านล้านบาท), Microsoft (2.86 ล้านล้านบาท) และ Meta (2.45 ล้านล้านบาท)

บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐอเมริกากำลังเร่งเครื่องยนต์การลงทุนด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยมูลค่าการลงทุนรวมของ Amazon, Alphabet (บริษัทแม่ของ Google), Microsoft และ Meta (บริษัทแม่ของ Facebook) คาดว่าจะพุ่งสูงถึง 373,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (12.12 ล้านล้านบาท) ในปี 2568 เพิ่มขึ้นกว่า 2.4 เท่าจากปี 2565 ที่อยู่ที่ระดับ 155,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (5.04 ล้านล้านบาท)

4 บิ๊กเทคโลก เร่งลงทุน AI ทุบสถิติงบรายจ่ายกว่า 12 ล้านล้านบาท ตามรายงานของ Statista ที่รวบรวมข้อมูลจากรายงานประจำปีของบริษัททั้ง 4 แห่ง แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของค่าใช้จ่ายด้านเงินทุน (Capital Expenditure: CapEx) ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันที่ดุเดือดในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง

Amazon นำทีมด้วยงบลงทุนสูงสุด 3.90 ล้านล้านบาท

Amazon ผู้นำตลาดบริการคลาวด์ผ่าน Amazon Web Services (AWS) โดดเด่นด้วยการเป็นผู้ลงทุนสูงสุดในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั้ง 4 แห่ง โดยในปี 2568 คาดว่าจะใช้งบลงทุนสูงถึง 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (3.90 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นจาก 63,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.05 ล้านล้านบาท) ในปี 2565 คิดเป็นอัตราการเติบโตเกือบ 2 เท่าในช่วงเวลาเพียง 3 ปี

การลงทุนของ Amazon ในปี 2567 อยู่ที่ระดับ 83,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.70 ล้านล้านบาท) และลดลงเล็กน้อยในปี 2566 ที่ 52,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.69 ล้านล้านบาท) ก่อนจะเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2568 ซึ่งการลงทุนส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การขยายศูนย์ข้อมูลเพื่อรองรับความต้องการบริการ AWS ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพัฒนาระบบ AI และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่

4 บิ๊กเทคโลก เร่งลงทุน AI ทุบสถิติงบรายจ่ายกว่า 12 ล้านล้านบาท

Alphabet ทุ่มงบ 3.02 ล้านล้านบาท แข่งขัน AI ตัวต่อตัว

Alphabet บริษัทแม่ของ Google มีแผนจะลงทุนสูงถึง 93,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (3.02 ล้านล้านบาท) ในปี 2568 เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.04 ล้านล้านบาท) ในปี 2565 และ 2566 การลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 54,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.76 ล้านล้านบาท) ในปี 2567 ก่อนจะพุ่งทะยานในปีถัดมา

4 บิ๊กเทคโลก เร่งลงทุน AI ทุบสถิติงบรายจ่ายกว่า 12 ล้านล้านบาท การลงทุนของ Alphabet สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการแข่งขันด้าน AI โดยเฉพาะหลังจากการเปิดตัว ChatGPT ของ OpenAI ที่ร่วมมือกับ Microsoft ทำให้ Google ต้องเร่งพัฒนา Gemini และโมเดล AI ต่างๆ เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดการค้นหาและบริการออนไลน์ นอกจากนี้ยังรวมถึงการลงทุนในธุรกิจ Google Cloud ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

Microsoft เดินหน้าต่อเนื่อง ลงทุนกว่า 2.86 ล้านล้านบาท

Microsoft ผู้พัฒนา Windows และ Office มีแผนลงทุน 88,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.86 ล้านล้านบาท) ในปี 2568 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (910,000 ล้านบาท) ในปี 2565, 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.11 ล้านล้านบาท) ในปี 2566 และ 58,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.89 ล้านล้านบาท) ในปี 2567

การลงทุนของ Microsoft เน้นหนักไปที่การพัฒนา Azure Cloud Platform และการนำเทคโนโลยี AI จาก OpenAI มาผสานเข้ากับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของบริษัท ไม่ว่าจะเป็น Microsoft 365, Bing Search และ GitHub Copilot ซึ่งการร่วมมือกับ OpenAI ทำให้ Microsoft ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำด้าน AI ในธุรกิจองค์กร

Meta เพิ่มงบลงทุนพุ่งแรง เป็น 2.45 ล้านล้านบาท

Meta บริษัทแม่ของ Facebook, Instagram และ WhatsApp มีแผนเพิ่มงบลงทุนอย่างก้าวกระโดดเป็น 72,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.45 ล้านล้านบาท) ในปี 2568 จากระดับต่ำสุดที่ 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (952,000 ล้านบาท) ในปี 2566

แม้ว่า Meta จะมีงบลงทุนต่ำกว่าคู่แข่งในช่วงปี 2566 เนื่องจากนโยบาย “ปีแห่งประสิทธิภาพ” (Year of Efficiency) ที่เน้นการลดต้นทุนและปรับโครงสร้างองค์กร แต่บริษัทได้เปลี่ยนทิศทางอย่างชัดเจนในปี 2567 โดยเริ่มเร่งการลงทุนเพิ่มเป็น 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.36 ล้านล้านบาท) และกระโดดขึ้นเกือบ 2 เท่าในปี 2568 ภายใต้การนำของซีอีโอ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ที่มุ่งมั่นพัฒนา “Personal Superintelligence”

การลงทุนของ Meta มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโมเดล AI แบบโอเพนซอร์ส Llama และการจัดตั้ง Meta Superintelligence Labs ในกลางปี 2568 รวมถึงการนำ AI มาใช้ในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้และระบบโฆษณา โดยบริษัทได้ลงทุนจำนวนมากในการจ้างนักวิจัย AI ชั้นนำ รวมถึงการลงทุน 14.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (4.64 แสนล้านบาท) ใน Scale AI

ความท้าทายและความกังวล

แม้ว่าการลงทุนจำนวนมหาศาลนี้จะแสดงถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีอนาคต แต่ก็มีความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนของการลงทุนในระดับนี้ นักวิเคราะห์บางส่วนตั้งคำถามว่าผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Investment: ROI) จะคุ้มค่ากับเงินลงทุนมหาศาลหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อรายได้จากผลิตภัณฑ์ AI หลายตัวยังไม่ชัดเจน นอกจากนี้ยังมีความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมจากการใช้พลังงานจำนวนมากในศูนย์ข้อมูล ซึ่งอาจขัดแย้งกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่บริษัทเหล่านี้ประกาศไว้

อย่างไรก็ตามบริษัททั้ง 4 แห่งยืนยันว่าการลงทุนเหล่านี้มีความจำเป็นเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมมองว่า AI จะเป็นรากฐานสำคัญของเทคโนโลยีในอนาคต

การแข่งขันด้านการลงทุนในยุค AI นี้ไม่เพียงแต่จะกำหนดอนาคตของบริษัทเหล่านี้เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อทิศทางของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลกและวิถีชีวิตของผู้คนในอนาคตอีกด้วย