KEY
POINTS
รายงานวิจัยล่าสุดโดย OpenAI ร่วมกับนักวิจัยมหาวิทยาลัย Harvard และ Duke เผยแพร่ผ่านสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติสหรัฐ (NBER) พบว่า การใช้งาน ChatGPT ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 ถึงกรกฎาคม 2568 ส่วนใหญ่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับงาน
โดยจากการวิเคราะห์ข้อมูลการสนทนาใน ChatGPT ราว 1.5 ล้านครั้ง พบว่า 70–73% ของข้อความเป็นการใช้งานส่วนตัว เพิ่มขึ้นจาก 53% เมื่อกลางปี 2567 ขณะที่การใช้งานด้านงานลดลงเหลือเพียง 27–30%
ขณะเดียวกันรายงานยังระบุว่า 49% ของการใช้งานเป็นการถามเพื่อหาข้อมูลหรือแนวทางสนับสนุนการตัดสินใจ มากกว่าการสั่งให้ระบบทำงานโดยตรง ทำให้ ChatGPT ถูกใช้เสมือน “ที่ปรึกษา” มากขึ้น
กลุ่มอาชีพด้านการสื่อสารถูกระบุว่าเป็นหนึ่งในผู้ใช้ที่นำ AI มาช่วยยกระดับเนื้อหา เช่น ปรับโทนเสียงการเขียน ร่างคำพูดผู้บริหาร และใช้เพื่อการเรียนรู้หรือฝึกฝนทักษะ โดยคิดเป็น 29% ของการใช้งานเชิงงาน
นอกจากนี้ งานวิจัยของ Anthropic ผู้พัฒนา Claude chatbot ยังสะท้อนให้เห็นความเหลื่อมล้ำด้านการใช้งาน AI เชื่อมโยงกับรายได้เฉลี่ยของประเทศ เศรษฐกิจแข็งแรง เช่น สิงคโปร์และแคนาดา มีการใช้งานสูงกว่าประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่น อินเดียและอินโดนีเซีย แม้แต่ในสหรัฐฯ ก็พบความแตกต่างระหว่างรัฐ โดยแคลิฟอร์เนียมักใช้เพื่อแก้ปัญหา IT ฟลอริดาใช้กับงานบริการการเงิน และกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ใช้ด้านงานเอกสารและให้คำปรึกษา
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การมองว่า AI เป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคตเพียงอย่างเดียว อาจทำให้พลาดโอกาส เพราะคุณค่าที่แท้จริงกำลังอยู่ที่การนำมาใช้แก้ปัญหาในปัจจุบัน โดย ChatGPT กำลังขยับจาก “ผู้ผลิตเนื้อหา” ไปสู่ “ที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์” ของมนุษย์