AI กุญแจสู่ความยั่งยืนขององค์กร ยุคที่ 'คน' และ 'เทคโนโลยี' ทำงานร่วมกัน

26 ก.ย. 2568 | 07:40 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ก.ย. 2568 | 07:10 น.

จากการ์ดจอสู่ขุมพลังแห่งยุค ซีอีโอ 'โชว์ไร้ขีด' เผยแนวคิดการบริหารจัดการบุคลากรและทรัพยากรด้วย AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน พร้อมเน้นย้ำว่า GPU คือ 'น้ำมันใหม่' ที่ขับเคลื่อนโลกธุรกิจ และถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องมี AI เป็นของตนเองเพื่อปกป้องข้อมูลสำคัญ

KEY

POINTS

  • AI เป็นเครื่องมือเสริมประสิทธิภาพการทำงานของมนุษย์ ไม่ใช่การแทนที่ โดยช่วยลดภาระงานที่ซ้ำซ้อนเพื่อให้พนักงานมีเวลาสำหรับงานที่สร้างสรรค์มากขึ้น
  • การสร้าง "อธิปไตย AI ไทย" มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงทางข้อมูลของประเทศ และช่วยให้สามารถพัฒนา AI ที่เข้าใจบริบทและวัฒนธรรมไทยได้
  • โครงสร้างพื้นฐานอย่างหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) คือปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตของ AI ซึ่งถูกเปรียบว่าเป็น "น้ำมันใหม่" ของยุคดิจิทัล
  • AI เหมาะสำหรับทำงานในสภาพแวดล้อมที่อันตรายหรือมนุษย์ไม่พึงประสงค์ (ร้อน หนาว สกปรก) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและปกป้องสุขภาพของพนักงาน

โลกกำลังเข้าสู่ยุคที่ AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือล้ำสมัย แต่กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความยั่งยืน นายพงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โชว์ไร้ขีด จำกัด กล่าวในงานสัมมนาว่า กิจกรรมสานสัมพันธ์เครือข่ายความร่วมมือสหกิจศึกษา “CAMT Partnership Networking” ครั้งที่ 2 ว่าการปรับตัวขององค์กรในปัจจุบันต้องให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการบุคลากร ทรัพยากร และโครงสร้างพื้นฐาน AI อย่างชาญฉลาด เพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว

AI เครื่องมือเสริมประสิทธิภาพ ไม่ใช่การแทนที่มนุษย์

หัวใจของการใช้ AI คือการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของบุคลากร ไม่ใช่การแทนที่มนุษย์ แม้ว่าในทางปฏิบัติ บริษัทอาจจะลดการจ้างงานใหม่ในบางตำแหน่งเมื่อมีพนักงานลาออก แต่เป้าหมายหลักคือการให้ AI เข้ามาช่วยงานที่ใช้เวลามากหรือเป็นงานซ้ำซาก เพื่อให้พนักงานมีเวลาไปทำงานที่สร้างสรรค์และมีคุณค่ามากขึ้น

ยกตัวอย่างการใช้ Gamma.app ซึ่งเป็นเครื่องมือสร้างงานนำเสนอ ที่สามารถแปลงข้อมูลดิบให้กลายเป็นสไลด์ 10 แผ่นได้ภายในเวลาเพียง 3 นาที 33 วินาที หรือการใช้ ChatGPT Pro เพื่อให้ AI เรียนรู้งานจากบรรณาธิการเทคนิคที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 18 ปี ทำให้โปรดิวเซอร์สามารถสร้างสคริปต์ได้เองอย่างรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า AI ช่วยลดภาระงานที่ต้องใช้เวลาและความพยายามสูง ทำให้การทำงานคล่องตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

แนวคิดงาน 4 ประเภทที่เหมาะกับ AI ของ Jack Ma

มุมมองที่น่าสนใจอีกประการคือการอ้างอิงแนวคิดของ แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้ง Alibaba ที่กล่าวไว้ว่า AI จะเข้ามาทำงานที่ "ดีกว่าคน" โดยเฉพาะในงานที่ต้องทำซ้ำๆ หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มนุษย์ไม่พึงประสงค์ โดยจำแนกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ร้อน หนาว สกปรก และอันตราย

  • ร้อนและหนาว การทำงานในโรงหล่อเหล็กหรือห้องแช่แข็งขนาดใหญ่ ที่สภาพอากาศสุดขั้วอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์
  • สกปรก การแยกขยะในศูนย์รีไซเคิล ซึ่งต้องสัมผัสกับสิ่งปฏิกูลและสารเคมี
  • อันตราย การทำงานในเหมืองแร่หรือการกำจัดวัตถุระเบิด

การให้ AI เข้ามาทำงานในส่วนนี้ นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วแล้ว ยังเป็นการช่วยปกป้องชีวิตและสุขภาพของมนุษย์ ทำให้พนักงานไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป

GPU "น้ำมันใหม่" ที่ขับเคลื่อนโลก AI

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ AI ไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากขาด หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) โดยเฉพาะจากบริษัท Nvidia ที่เดิมทีสร้างขึ้นเพื่อรองรับการเล่นเกม แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นขุมพลังหลักในการประมวลผลข้อมูล AI ขนาดใหญ่ นายพงศ์สุขเล่าถึงเรื่องราวในอดีตที่ Nvidia ใช้เทคโนโลยี AI เพื่อฝึกฝนตัวละครในเกม (NPC) ให้เดินหลีกเลี่ยงการชนกัน ก่อนจะนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาพัฒนาให้รถยนต์ไร้คนขับสามารถหลีกเลี่ยงการชนได้อย่างแม่นยำ

ปัจจุบัน GPU มีมูลค่าทางการตลาดแซงหน้า CPU ไปแล้ว และกลายเป็นฮาร์ดแวร์ที่มีความต้องการสูงอย่างยิ่งในตลาดโลก ส่งผลให้เกิดการลงทุนมหาศาลเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ทั่วโลก ตัวอย่าง โครงการ Stargate ของ Sam Altman ที่กำลังจะเกิดขึ้นในรัฐเท็กซัส

ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ AI โดยเฉพาะ หรือการที่ Elon Musk ประกาศว่าจะลงทุนเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ต้องใช้ GPU มากถึง 1 ล้านหน่วย สิ่งเหล่านี้บ่งชี้ให้เห็นว่า GPU ไม่ใช่เพียงส่วนประกอบทางคอมพิวเตอร์ แต่เป็น "น้ำมันใหม่" ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและนวัตกรรมในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง

สร้าง "อธิปไตย AI ไทย" เพื่อความมั่นคงทางข้อมูล

ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือการสร้าง "อธิปไตย AI ไทย" หรือการมี AI ที่สามารถประมวลผลข้อมูลภายในประเทศได้เองอย่างอิสระ นายพงศ์สุขและผู้เชี่ยวชาญมองว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลาง AI ของภูมิภาค เนื่องจากมีพื้นที่รองรับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่

การมี AI เป็นของตนเองมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ ความมั่นคงทางข้อมูล ของประเทศ โดยเฉพาะเมื่อต้องจัดการกับข้อมูลที่อ่อนไหว เช่น ฐานข้อมูลลูกค้าของธนาคาร, ข้อมูลทางการแพทย์ของผู้ป่วย, ข้อมูลคดีความของศาล, หรือข้อมูลด้านความมั่นคงของกองทัพ หากปล่อยให้ AI ของต่างชาติเข้ามาวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ อาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านการรั่วไหลของข้อมูลและปัญหาด้านความปลอดภัย

นอกจากนี้ การมี AI ของตนเองยังทำให้สามารถ พัฒนา AI ให้เข้าใจบริบทและวัฒนธรรมไทย ได้อย่างแท้จริง เช่น ในกระบวนการยุติธรรม AI ของไทยอาจถูกฝึกให้พิจารณาถึง "ความเมตตา" หรือ "ความเห็นอกเห็นใจ" ควบคู่ไปกับหลักการทางกฎหมาย

ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ของต่างชาติอาจไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ โครงการนี้คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 5 ปีจึงจะแล้วเสร็จ เพื่อให้ประเทศไทยมีระบบ AI ที่เป็นของตัวเอง รองรับกฎหมาย PDPA และรักษาความมั่นคงทางข้อมูลได้อย่างสมบูรณ์

ในโลกที่ AI และโครงสร้างพื้นฐานการประมวลผลสูงมีบทบาทสำคัญมากขึ้นทุกขณะ การปรับตัวขององค์กรด้วยการใช้ AI อย่างชาญฉลาด รักษาบทบาทของมนุษย์ให้แข็งแกร่ง และสร้าง "อธิปไตย AI" ของตนเอง จะเป็นเส้นทางที่สำคัญที่สุดสู่ความยั่งยืนในอนาคต